หลูจื้อหันกลับไปมองเห็นบุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมยาวสีดำผู้หนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ทางทิศตะวันตกตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ เขาก้มหน้าซ่อนประกายที่จุดวูบขึ้นในดวงตา สาวเท้าเนิบนาบเข้าไปหา
“ใต้เท้าท่านนี้ ไม่ทราบว่าท่านฟังออกได้อย่างไรว่าข้ามีความคับข้องในใจ”
บุรุษชุดดำไม่กล่าวตอบเขา กลับย้อนถาม “เหตุใดถึงเรียกขานข้าว่าใต้เท้า”
“พิศโฉม หยั่งจิต” เมื่อสี่คำนี้ดังขึ้น แววชื่นชมที่วาบผ่านนัยน์ตาอีกฝ่ายไม่อาจหลุดลอดจากสายตาของหลูจื้อไปได้
“ดีๆๆ” หลังพูดคำนี้ติดๆ กันสามครั้ง สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนละมุนลง “พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีหรือไม่”
สิ้นเสียงนี้ หลูจื้อผายมือเล็กน้อยเป็นเชิงเชื้อเชิญ จากนั้นออกเดินนำอีกฝ่ายเข้าสู่ห้องพักแขกของวัดที่ตนพำนักชั่วคราว หลูจวิ้นอยู่ในห้องเห็นพี่ชายพาคนผู้หนึ่งเข้ามา นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบไปรินน้ำชา หลูซื่ออบรมสั่งสอนพวกเขามาหลายปี แม้จะอาศัยอยู่ในชนบท แต่นางเข้มงวดเรื่องธรรมเนียมมารยาทไม่เคยขาด
“นี่คือ…”
“น้องชายข้าเองขอรับ มารดาไม่วางใจที่ข้าจะเข้าเมืองหลวงลำพัง ก็เลยเดินทางมาพร้อมกับเขา”
บุรุษวัยกลางคนพยักหน้าแล้วจับจ้องดวงหน้าแฝงเค้าเยาว์วัยจางๆ ของหลูจื้อ พอหลูจวิ้นยกถ้วยน้ำชามาให้ เขาปริปากบอกจุดประสงค์ที่มาเยือน “ข้ามาเพราะงานเขียนของเจ้า”
หลูจื้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเป็นฉบับไหนขอรับ”
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ” หลังจากทั้งคู่สบตากันยิ้มๆ ก็เริ่มต้นสนทนากันอย่างจริงจัง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเขียน หาใช่สิ่งที่คนมากมายยอมรับได้?” บุรุษวัยกลางคนมองหลูจื้อพร้อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าสนใจใคร่รู้
“หากไม่ล่วงรู้ ข้าคงไม่เขียนขึ้นสองฉบับจนดึกดื่นและส่งไปให้ใต้เท้าหรอกขอรับ” หลูจื้อตอบเรียบๆ ใบหน้าสงบนิ่งไร้รอยกระเพื่อมไหวสักกระผีก
บุรุษวัยกลางคนกล่าวต่อ “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าได้รับฉบับใดก่อน”
หลูจื้อมีความมั่นอกมั่นใจอยู่แต่เดิม ครั้นอีกฝ่ายถามอย่างนี้กลับบังเกิดความหลากใจอยู่ลึกๆ ลอบคาดเดาถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง เขากล่าวเสียงเบา “ไม่สำคัญว่าเป็นฉบับใด ด้วยล้วนไปถึงมือใต้เท้าแล้ว”
บุรุษวัยกลางคนเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น “ดี นิสัยใจคออย่างนี้สิ ก่อนหน้านี้เป็นข้าเข้าใจผิดไปเอง เพราะได้รับงานเขียนที่เจ้าส่งไปที่กองการคัดเลือกก่อน เพียงนึกว่าเจ้าเป็นพวกวางแผนรบบนกระดาษ คนที่ข้าส่งมาเฝ้าดูพฤติกรรมยามปกติของเจ้ามิได้กล่าวเกินจริงเลย…” จากนั้นยังไขความให้ฟังว่าได้รับงานเขียนของหลูจื้อเช่นไร และส่งคนมาสืบถามถึงความประพฤติของเขาเช่นไรอย่างละเอียดแล้ว เขากล่าวตบท้าย “ทว่าวันนี้ข้ากลับมิได้มาด้วยเรื่องเสนอชื่อเจ้า”
หนังตาของหลูจื้อพลันกระตุกทีหนึ่ง เขาจะขยับปากพูด ก็ได้ยินบุรุษวัยกลางคนเอ่ยต่อ “ผู้เป็นขุนนาง ยังมีการแบ่งชั้นวรรณะ แม้เจ้าจะรู้ว่าแบบแผนการบริหารราชการมีจุดไม่เหมาะสมอยู่มาก แต่กลับไม่เข้าใจว่านี่เป็นสภาวการณ์ดังคำกล่าวว่าดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าถึงข้าชื่นชมเจ้า ถึงเจ้าได้เข้าร่วมการสอบชุนเหวย หากแต่วันที่จะได้ลืมตาอ้าปากกลับห่างไกลจนไม่รู้จะมาถึงเมื่อไร”
หลูจื้อนิ่งเงียบไม่พูดจา รอเขากล่าวสืบไป “เจ้ามองดูขุนนางในราชสำนักเหล่านั้น ขอแค่เป็นคนที่มาจากตระกูลยากจน เว้นแต่เป็นผู้ติดตามซึ่งร่วมเป็นร่วมตายเมื่อครั้งอยู่ในวังตะวันออก มีสักกี่คนกันที่สามารถทำการใหญ่และทูลทัดทานฮ่องเต้ได้จริงๆ หากพินิจจากอุดมการณ์ของเจ้า ได้รับเสนอชื่อเข้าร่วมการสอบชุนเหวยมิใช่หนทางที่ดีที่สุด ข้ายังมีอำนาจอยู่ในมือ จึงจะส่งเจ้าไปอยู่ในหมู่ลูกหลานขุนนาง รออีกสี่ปีให้หลังค่อยสอบอีกครั้ง เมื่อนั้นแม้เจ้ามีชาติตระกูลต่ำต้อย กลับไม่มีคนกล้าดูแคลน หรือไม่ยังสามารถคบหาผูกมิตรกับเชื้อพระวงศ์ได้ ไม่ต้องหัวเดียวกระเทียมลีบอีก”
กล่าวถ้อยคำนี้จบ บุรุษวัยกลางคนดื่มชาไปเงียบๆ ขณะที่ในหัวของหลูจื้อขบคิดทบทวนไปมาหลายสิบตลบ เมื่อเขาดื่มชาหมดถ้วย หลูจื้อลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับเขาอย่างยกย่อง