บุรุษวัยกลางคนหัวเราะร่า ยื่นมือไปปลดป้ายหยกม่วงชิ้นหนึ่งตรงบั้นเอวมาวางลงในมือหลูจื้อพลางกล่าว “สองสามวันนี้ไปหาข้าที่จวนได้” ว่าแล้วก็หมุนกายเดินอาดๆ จากไป
หลูจวิ้นนั่งอยู่ไม่ไกลเงี่ยหูฟังพวกเขาคุยกัน เพียงแต่คนคู่นี้คล้ายทายคำปริศนากันก็ไม่ปาน กล่าววาจากำกวมไม่ชัดเจน ทุกถ้อยทุกคำล้วนแฝงนัยเปรียบเปรย มิใช่ง่ายกว่าเขาจะฟังสองสามคำสุดท้ายเข้าใจ บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นอำลากลับไปแล้ว
“พี่ใหญ่ มันเรื่องอะไรกัน พี่รู้จักคนผู้นั้นหรือ” สองพี่น้องยืนอยู่หน้าประตูมองส่งบุรุษวัยกลางคนเดินห่างไปไกล หลูจวิ้นถึงฉุดหลูจื้อเข้าไปในห้อง และไต่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เขาคือใต้เท้าตู้ เสนาบดีกรมปกครองคนปัจจุบัน ตู้หรูฮุ่ย” หลูจื้อยกมุมปากขึ้น พลางเก็บหยกพกรูปพยัคฆ์ชิ้นนั้น
“หา?!” หลูจวิ้นเบิกตากว้างอ้าปากค้าง “ขะ…ขะ…เขาก็คือตู้ต้วน คนนั้น?”
หลูจื้อเดินไปนั่งลงตรงหน้าโต๊ะตัวเตี้ย ยกการินน้ำชาถ้วยหนึ่งแล้วดื่มจนหมด รอเมื่อหลูจวิ้นหายจากอาการตกตะลึง เขาค่อยเริ่มเล่าไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น
ที่แท้ในคืนวันที่สิบเอ็ดหลังจากหลูจื้อเข้าพำนักที่วัดหงฝู ได้ซักถามเรื่องขุนนางในราชสำนักจากจี้เต๋อที่ไปเยี่ยมเยือนสหายกลับมา หลังจากนั้นเขาคัดลอกงานเขียนที่ตระเตรียมไว้ก่อนสองฉบับโดยมีเนื้อความเหมือนกันทุกประการอยู่ทั้งคืน ชี้ให้เห็นถึงจุดบกพร่องของการคัดเลือกขุนนางในราชวงศ์นี้ รวมถึงข้อเสียของระเบียบแบบแผนการเสนอชื่อบัณฑิตเข้าร่วมการสอบ ยังแจกแจงสภาพการเล่าเรียนและการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดินของบัณฑิตยากจนกับทายาทผู้สูงศักดิ์ รวมถึงจาระไนผลร้ายต่างๆ นานาออกมาเป็นข้อๆ ได้สิบเอ็ดข้อ
หลังจากเขียนทั้งสองฉบับเสร็จ ทั้งที่รู้ว่าความเรียงที่เขียนขึ้นอาจใช้ถ้อยคำรุนแรง อีกทั้งมีเนื้อความขัดกับขนบดั้งเดิมเกินไป เขายังคงส่งฉบับหนึ่งไปที่กองการคัดเลือก เพียงจะใช้งานเขียนชิ้นนี้หยั่งดูปฏิกิริยาของกองงานที่เสนอชื่อบัณฑิตในปัจจุบันเท่านั้น หากว่าผู้คุมสอบส่วนใหญ่ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์โบราณ จะต้องมาหาเขาตั้งแต่วันแรกเพราะสิ่งที่เขียนบรรยายอยู่ในนั้น ถ้าไม่เป็นดังนั้น เขาก็จะเอาฉบับที่สองที่เขียนเตรียมไว้ล่วงหน้าส่งไปยังจวนของตู้หรูฮุ่ย ขุนนางชื่อดังผู้ทรงคุณธรรมและมีอำนาจบารมีของราชวงศ์นี้ โดยเดิมพันว่าผู้ปราดเปรื่องแห่งราชสำนักจะยอมรับของความคิดของเขาได้ และค้นพบความสามารถและสติปัญญาของเขา
ฉบับที่ส่งไปที่กองการคัดเลือกถูกปฏิเสธในวันนั้นดังคาด เพียงคิดไม่ถึงว่ากลับมีผู้คุมสอบคนหนึ่งหยิบไปให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทรงอำนาจซึ่งเป็นสหายร่วมสำนักศึกษาของตนเองท่านหนึ่งอ่าน และขอให้เสนอชื่อเขา แม้นขุนนางท่านนั้นจะชื่นชอบความเรียงของหลูจื้อ แต่เขาส่งงานเขียนไปยังกองการคัดเลือกที่คร่ำครึก่อนเลยบังเกิดความไม่พึงใจต่อเขาอยู่บ้าง ด้วยนึกว่าเขาไม่เข้าใจงานราชการ เป็นพวกวางแผนการรบบนกระดาษ ถึงต่อหน้าจะตกปากรับคำผู้คุมสอบคนนั้น ลับหลังกลับส่งคนไปสืบดูประพฤติกรรมของเขาในวัดที่อาศัยอยู่
เมื่อวานคนที่มาสืบข่าวกลับไปรายงานขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านนั้น เมื่อได้รู้ว่าเขามีความประพฤติดี และหลายวันมานี้มิได้แสดงท่าทางเย่อหยิ่งถือดีหรือร้อนรนใดๆ ถึงได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขา ทว่าเมื่อคืนตอนขุนนางท่านนี้อ่านงานเขียนที่ถูกส่งมาที่จวนทุกวัน กลับพบชิ้นหนึ่งที่เหมือนกับฉบับก่อนหน้านั้นทุกประการ มันเป็นงานเขียนฉบับที่สองที่หลูจื้อส่งมาให้ หลังจากเขาเทียบงานเขียนสองฉบับของหลูจื้อที่ตกมาอยู่ในมือเขาทั้งก่อนและหลัง ก็ตรึกตรองอยู่ตลอดราตรีถึงตกลงปลงใจได้ และตั้งใจมาหาหลูจื้อในวันนี้ หลูจื้อเองเพิ่งได้รู้จากปากอีกฝ่ายว่าได้เห็นงานเขียนฉบับแรกของตนก่อน
แล้วขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้ก็คือตู้หรูฮุ่ยนั่นเอง
“โอ๊ย! ซับซ้อนยอกย้อนแบบนี้ ข้าฟังจนเวียนศีรษะไปหมด พี่ใหญ่ วันนี้ใต้เท้าตู้นั่นมาแจ้งให้รู้ว่าพี่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยได้แล้วหรือ”
“มิใช่ ข้าไม่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยแล้ว” น้ำเสียงของหลูจื้อเจือรอยผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก
“อะไรนะ!” หลูจวิ้นตกใจจนลุกพรวดขึ้นเอะอะโวยวายทันที “พี่บอกว่าพี่ไม่เข้าร่วมการสอบชุนเหวย แล้วพี่ตั้งใจจะทำอะไร”
“เล่าเรียนต่อ”
“เอ๊ะ! หือ?” หลูจื้อสงสัยว่าหูของตนเองเป็นอะไรไปแล้ว ไฉนเขาได้ยินพี่ชายพูดว่าจะเล่าเรียนต่อ
“ที่สำนักศึกษาหลวง ข้าจะเล่าเรียนต่อในสำนักศึกษาหลวง” หลูจื้อรินน้ำชาอีกถ้วยหนึ่งดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะตัวเตี้ย