หลังจากพวกหลูซื่อพำนักอยู่ในคฤหาสน์เสียนหรงแล้วไม่ได้พบหน้าคุณชายฉางติดต่อกันหลายวัน ถามไถ่บ่าวไพร่ก็ได้รับคำตอบแค่ว่าไม่รู้ ไปหาพ่อบ้านหลี่หลายหน เขาล้วนตอบเฉไฉว่าคุณชายออกไปสะสางธุระข้างนอก ยังไม่กลับมาทุกคราไป
เรื่องทะเบียนเรือนกลับจัดการได้อย่างราบรื่นในไม่กี่วันต่อมา ตอนพ่อบ้านหลี่นำมาให้ ยังพาไปนอกเมืองดูที่นาอุดมสมบูรณ์ที่ปันส่วนให้พวกนางสิบหมู่ หลูซื่อยกภูเขาออกจากอกได้ในที่สุด แม้ยังหวังว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นขนาดนี้ และหวนนึกถึงคำพูดเย็นชาของคุณชายฉางในห้องโถงวันนั้น นางค่อยๆ เลิกรบเร้าถามว่าเขาไปไหนอีก
อี๋อวี้เริ่มต้นปลูกต้นปั้วเหอในวันที่สองที่ย้ายเข้ามา เด็กรับใช้หน้าดำนามว่า ‘หลี่เล่อ’ ถูกพ่อบ้านหลี่ซึ่งเป็นบิดาเขาส่งตัวมาเป็นลูกมือ เมื่อได้รับคำร้องขอจากอี๋อวี้ ต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่รู้ชื่อทางทิศตะวันตกของเรือนโยวย่วนถูกถอนออกจนโล่งเตียน ทั้งยังส่งคนมาพรวนดินและถมหน้าดินให้โดยเฉพาะ ปรับเปลี่ยนให้เป็นแปลงดอกไม้ที่ใหญ่กว่าแปลงผักเล็กๆ ในลานเรือนสกุลหลูที่หมู่บ้านเค่าซานถึงสองเท่ากว่า
หลูซื่อมีใจสำนึกบุญคุณ กลัวว่าพอเปลี่ยนที่ทาง เจ้าต้นนี้จะปลูกไม่ขึ้น ทำให้ผู้อื่นหลงดีใจเปล่า พอเริ่มเพาะเมล็ดแล้วยังเฝ้าเอาใจใส่เสียยิ่งกว่าบุตรสาว หาได้รู้ไม่ว่านางลักลอบทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างอยู่ใต้จมูกตน
การทำไร่ไถนาในพื้นที่ด่านในโดยมากจะเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ หลูซื่อใจจดใจจ่อกับเรื่องการทำนา เมื่อหลายวันก่อน นางว่าจ้างชาวนาสามสี่คนจากหมู่บ้านในละแวกตำบลหลงเฉวียน จากนั้นไปอยู่ที่แปลงนากับหลิวเซียงเซียงทุกวัน ดังนั้นตอนกลางวันจึงเหลืออี๋อวี้อยู่ในเรือนหลังเล็กคนเดียว
ตำบลหลงเฉวียนนี้กว้างใหญ่กว่าตำบลจางสี่ห้าเท่า ตั้งแต่เข้ามาอาศัยได้ครึ่งเดือน อี๋อวี้ออกจากเรือนไปเดินเที่ยวรอบๆ เสมอ และได้รู้ว่าวันแรกที่พวกนางมาถึงนั้นเข้ามาจากด้านท้ายตำบล จะอย่างไรที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง จึงคึกคักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอำเภอชิงหยางที่สู่จงเลย ฝั่งปากทางเข้าตำบลเป็นร้านรวงต่างๆ มากกว่าครึ่ง ยังมีร้านอาหารกับโรงเตี๊ยมสองแห่ง ถัดเข้ามาตรงกลางจะเป็นเรือนใหญ่โตแบบเดียวกับคฤหาสน์เสียนหรงทั้งหมดห้าหลัง ส่วนท้ายตำบลเป็นเรือนชาวบ้านเรียงรายติดกันหลายแถวที่พวกนางมองเห็นเมื่อแรกมาถึง
นอกจากซื้อเมล็ดพันธุ์และจ้างคนแล้ว หลูซื่อยังเหลือเงินอีกสองก้วน นางก็ซื้อหมึกกับพู่กันจากร้านค้าในตัวตำบลมาให้อี๋อวี้ฝึกเขียนตัวอักษร ครั้นหลิวเซียงเซียงที่ไม่รู้หนังสือสักตัวได้แต่มองดูอี๋อวี้ตื่นนอนแต่เช้าหัดคัดลายมือด้วยแววตาอิจฉาตกอยู่ในสายตาของหลูซื่อ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะกลับมาถึงเย็นย่ำปานใด นางจะสอนให้เด็กสาวอ่านเขียนคำที่ใช้บ่อยๆ ทุกวัน
วันนี้หลังจากหลูซื่อออกไปข้างนอกพร้อมกับหลิวเซียงเซียง อี๋อวี้นั่งอยู่ในห้องปีกด้านข้างคัดตัวอักษร ในห้องโถงไม่มีเครื่องเรือนอย่างโต๊ะหนังสือ แต่มีโต๊ะไม้แดงตัวใหญ่ รวมถึงม้านั่งหุ้มต่วนตัวเล็กๆ เมื่อเทียบกับโต๊ะยาวขาเตี้ยมุมขอบสากขรุขระที่นางใช้ในกาลก่อนแล้ว นับว่าสภาพดีกว่ามิใช่แค่สองเท่า
เพราะไม่ได้หยิบหนังสือตำราในเรือนติดตัวมา นางเลยเขียนบทประพันธ์ที่หลูจื้อท่องจำเมื่อก่อนจากความทรงจำ ตัวอักษรที่เขียนวันนี้ไม่ใช่ตัวบรรจงปกติที่มีรูปทรงเหลี่ยมๆ แข็งๆ เหมือนที่ผ่านมา หากแต่เป็นตัวบรรจงเล็กที่อ่อนช้อยกว่า กระนั้นจะบอกว่าเป็นตัวบรรจงเล็กก็ยังมีที่ข้อต่างกันอยู่ ยุคโบราณมีนักเขียนอักษรวิจิตรโด่งดังอยู่หลายคน ทว่าคนที่ช่ำชองการเขียนตัวอักษรแบบนี้มีอยู่คนสองคนเท่านั้น ทั้งยังเป็นอักษรเสี่ยวข่ายหัวแมลงวัน* ทั้งสิ้นอี๋อวี้เคยเห็นแผ่นคัดตัวอักษรประเภทนี้มาก่อน แต่ไม่ใคร่จะชอบลายเส้นที่เบียดชิดกันเกินไป อีกอย่างนางสั่งสมพื้นฐานได้แน่นแล้ว เลยมีความคิดที่จะศึกษาวิธีการเขียนตัวบรรจงขนาดเล็กมาแต่แรก เพียงแค่ว่าพักนี้เพิ่งมีเวลาว่างถึงได้เริ่มต้นฝึกฝน