อี๋อวี้รู้ดีว่าจากสภาพการณ์ในยามนี้ ตนเองยังต้องอาศัยอยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง อีกทั้งผู้ที่มีบุญคุณต่อพวกนางแม่ลูกไม่ใช่สาวใช้เหล่านี้ นางไม่มีความคิดจะก้มหน้าเจียมตน ปล่อยให้คนอื่นนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ได้ และเพื่อป้องกันมิให้คนถ่อยปากเปราะพูดจาว่าร้ายพวกนางแม่ลูกสามคนจนไม่เหลือชิ้นดี เลยหมายใจจะให้บทเรียนกับพวกนาง
ดังนั้นนางชะโงกตัวออกไป ยื่นหน้าเล็กๆ เข้าไปใกล้กะทันหันจนห่างจากพวกนางสามสี่ชุ่น แล้วค่อยๆ แย้มปากอวดไรฟันขาววาววับ กระซิบพูดกับพวกนาง “พี่สาวทั้งสองรู้อะไรไหม ได้ยินว่าพวกปากไม่ดีแล้วยังชอบนินทาลับหลัง พอตายแล้วต้องตกนรกขุมที่ถูกดึงลิ้น” เห็นพวกนางหน้าเผือดลงทันควัน อี๋อวี้หยักยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้น พูดต่อไปด้วยสุ้มเสียงเบาลงๆ “ที่นั่นนะ จะมีผีน้อยหน้ายาวมาง้างปากพวกท่าน ใช้คีมเหล็กยาวๆ หนีบลิ้นดึงออกมา แล้วไม่ใช่ดึงให้หลุดออกมาทีเดียวนะ แต่จะดึงให้ยืดออกมายาวขึ้นทีละน้อยๆ ช้าๆ…”
พูดอยู่ดีๆ นางพลันเหลือกตาขึ้น อ้าปากแลบลิ้นออกมายาวๆ
“ว้าย!” ตอนแรกสองสาวใช้ถูกอี๋อวี้จับผิดได้ จะตัดบทนางก็ใช่ที่ จำต้องฟังไปเรื่อยๆ แต่นางยิ่งเล่ายิ่งน่ากลัว ซ้ำจู่ๆ ยังทำแลบลิ้นปลิ้นตาให้อีก สุดท้ายทั้งคู่กรีดร้องขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ โยนของในมือทิ้งแล้ววิ่งหนีไปเลย
อี๋อวี้มองตามแผ่นหลังของสาวใช้สองคนที่วิ่งห่างไปไกล ค่อยๆ เลิกทำหน้าผีหลอก นางแค่นเสียงขึ้นจมูกดังฮึ ก้มลงเก็บถุงสะพายสีเข้มที่พวกนางทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาปัดฝุ่นที่ติดอยู่ออก และเดินกลับเข้าไปข้างในพร้อมปิดประตูเรือนเสียงดังปึ้ง
อี๋อวี้วางถุงสะพายบนโต๊ะไม้แดงแล้วเปิดออก ข้างในเป็นเข็มกับด้ายและผ้าเนื้อดีที่หลูซื่อไหว้วานให้พ่อบ้านหลี่ซื้อมาจากเมืองฉางอันดังคาด
นางนึกไปถึงบทสนทนาของสาวใช้สองนางนั้นอีกครา คลับคล้ายว่าหนึ่งในนั้นที่มีรูปโฉมสะสวยกว่าจะเป็นบุตรสาวของพ่อบ้านหลี่ พี่สาวของหลี่เล่อเด็กรับใช้หน้าดำ นางเปรียบเทียบกิริยาวาจาของพวกเขาสามคนแล้วนึกอยู่ในใจว่าไม่เหมือนคนครอบครัวเดียวกันจริงๆ
นางเก็บของขึ้นอย่างเรียบร้อยแล้วคิดจะคัดลายมือต่อ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขัดอารมณ์ไม่มากก็น้อย หลังจากนางตวัดพู่กันเขียนอักษรตัวที่สองผิดก็หยุดมือ คิดคำนึงว่าตอนมารดาไปเมื่อเช้านี้บอกว่าจะกลับมาตอนกลางวัน ขณะนี้จวนเที่ยงตรงรอมร่อ ได้เวลาสมควรจุดเตาแล้ว นางเก็บของบนโต๊ะแล้วลุกไปยังห้องครัวที่อยู่ติดกัน
สิ่งที่อี๋อวี้ถูกอกถูกใจในเรือนหลังนี้ที่สุดเห็นทีว่าจะเป็นห้องนี้ เทียบกับห้องครัวโกโรโกโสตอนพวกนางอยู่ที่ชนบท ห้องครัวนี้ทั้งกว้างขวางกว่า และมีเครื่องไม้เครื่องมือหุงหาอาหารครบถ้วน
อี๋อวี้เพิ่งหอบฟืนมาจะจุดไฟ ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางวิ่งออกไปเปิด เห็นหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงยืนเช็ดเหงื่ออยู่หน้าประตู
“ทำไมกลับมาเร็วแบบนี้เจ้าคะ” เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว นางกระวีกระวาดรินน้ำยกมาให้คนทั้งสอง
หลูซื่อดื่มน้ำในถ้วยหมดรวดเดียว นางยกแขนเสื้อโบกลมพลางกล่าวตอบ “เกิดเรื่องขึ้นในหมู่บ้านของคนที่พวกเราว่าจ้างมาทำนาน่ะสิ มีเด็กคนหนึ่งมาส่งข่าวที่แปลงนา พวกเขาเลยกลับไปกันหมด”
อี๋อวี้ถามด้วยความอยากรู้ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”
“ดูเหมือนเป็นเพราะไร่ผืนหนึ่งที่เชิงเขาทิศใต้” หลูซื่อถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ปีก่อนหลายๆ ครอบครัวในหมู่บ้านของพวกเขารวมเงินกันซื้อไร่ตรงเชิงเขาทิศใต้ผืนหนึ่งตั้งใจจะปลูกต้นหม่อน พอเข้าฤดูหนาวก็เพาะต้นกล้า แต่ถึงฤดูใบไม้ผลิกลับเริ่มเน่าตาย ดูเหมือนว่าวันนี้ตอนคนที่คอยดูแลอยู่ไปดูแล้วมีตายเพิ่มขึ้นมาก ถึงได้เริ่มใจคอไม่ดี ลูกจ้างทำนาของพวกเราล้วนมีส่วนอยู่ในไร่ผืนนั้นด้วย พวกเขาเอะอะว่าจะกลับเรือนแล้วไปหาคนขายพร้อมกับคนในหมู่บ้านเพื่อขอเงินคืน”