ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 13
หลิวเซียงเซียงกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง “จะว่าไปก็ช่างบังเอิญนัก หลังจากพวกเขาไปแล้ว ข้าคุยกับเด็กที่มาส่งข่าวคนนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนขายไร่เป็นใคร ก็จวนสกุลสวี เรือนฝั่งตรงข้ามกับเรือนที่พวกเราอยู่ตอนนี้อย่างไรเล่า ข้าดูพวกเขามีทั้งเงินทองอิทธิพล ในเมื่อขายไปแล้ว เกรงว่าไม่มีทางคืนเงินให้พวกเขาเด็ดขาด”
อี๋อวี้ฟังคำบอกเล่าของหลูซื่อจบ มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้าในหัวแต่แรก บัดนี้ได้ฟังคำพูดของหลิวเซียงเซียงอีก เพียงรู้สึกว่าความคิดวูบนั้นยิ่งชัดเจนขึ้น หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วลุกไปทำอาหารในห้องครัว ทิ้งนางนั่งเท้าคางใจลอยอยู่ตามลำพังในห้อง
กินอาหารมื้อเที่ยงแล้ว ทั้งสามคนนั่งทำงานฝีมืออยู่ในห้องนอน หลิวเซียงเซียงอยู่ในตำบลจางนานสี่ปี ทุกวันแค่คอยดูแลการกินการอยู่ของเจิ้งลี่ ไม่เคยได้ฝึกเย็บปักถักร้อย วันนี้เห็นหลูซื่อเตรียมของออกมา บอกว่าจะสอนวิชาปักผ้าประจำตระกูลให้ นางร่ำไห้ด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีอย่างสุดระงับ จนโดนอี๋อวี้จงใจพูดหยอกล้อสองสามคำถึงห้ามน้ำตาไว้ได้
หลูซื่อเลือกเข็มกับด้ายพร้อมกับสะดึงขนาดกลางวงหนึ่งยื่นส่งให้อี๋อวี้พลางบอก “ยังไม่ได้ซื้อสะดึงวงใหญ่ เจ้าปักลายง่ายๆ ทำเป็นพวกผ้าเช็ดหน้าหรือถุงผ้าก่อน ฝีมือเย็บปักของเจ้าใช้ได้แล้ว รอไว้พวกเราเก็บเงินซื้อโต๊ะปักผ้าได้ ค่อยสอนเจ้าปักลายใหญ่”
อี๋อวี้ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย หลายปีมานี้นางปักพวกลายง่ายๆ จนเบื่อหน่ายแล้ว ข้อแรกเพราะในเรือนไม่มีโต๊ะปักผ้า ข้อสองคือหลูซื่อพูดเสมอว่าฝีมือของนางยังไม่ช่ำชองพอ ทำให้ไม่มีโอกาสปักลายใหญ่เรื่อยมา หญิงสาวคนอื่นๆ จะคิดเช่นไรก็สุดรู้ แต่อี๋อวี้เห็นการทำงานปักผ้าเป็นความสนุกรื่นรมย์ ทั้งฝึกฝนความอดทน ทั้งเป็นการฆ่าเวลา พอทำเสร็จแล้วยังขายแลกเป็นเงินได้อีก มันจึงเป็นความชื่นชอบสนใจอีกอย่างหนึ่งของนางนอกเหนือจากคัดลายมือ
แม้หลิวเซียงเซียงเย็บปักถักร้อยไม่เป็น กลับรู้ว่างานที่ทำด้วยโต๊ะปักผ้าต้องยากกว่าใช้สะดึงอย่างมาก นางไม่แจ่มแจ้งเรื่องฝีมือของอี๋อวี้ ตอนแรกที่ได้ยินหลูซื่อกล่าวเช่นนี้ เพียงนึกไปว่าอีกฝ่ายล่อหลอกอี๋อวี้เล่นๆ รอเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามเศษ นางได้รับคำชี้แนะจากหลูซื่อจนปักลายดอกท้อออกมาได้หนึ่งดอกแบบถูๆ ไถๆ แล้วแบ่งความสนใจไปดูอี๋อวี้ มองเห็นบนสะดึงในมือเด็กหญิงมีนกน้อยหางยาวหัวสีขาวประณีตน่ารักขนาดเท่าหัวแม่มือคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมา ลำตัวนกน้อยสองตัวปักด้วยด้ายสีเขียวสดแทรกสลับกับสีแดง ดูสมจริงราวกับมีชีวิตโดยแท้
“ท่าน…ท่านแม่บุญธรรม” เมื่ออี๋อวี้ถอดสะดึงออกแล้วเริ่มเย็บริมผ้า หลิวเซียงเซียงถึงหันหน้าไปถามหลูซื่ออย่างตะกุกตะกัก “นี่…นี่เสี่ยวอวี้หัดมานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ”
เข็มกับด้ายในมือของหลูซื่อไม่หยุดชะงัก นางเอ่ยตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “สักสี่ห้าปีแล้ว”
หลิวเซียงเซียงชี้ไปที่อี๋อวี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจพลางถาม “พักก่อนเสี่ยวอวี้เพิ่งฉลองวันคล้ายวันเกิดครบเก้าขวบมิใช่หรือ นางเริ่มหัดทำสิ่งนี้ตอนสี่ขวบ?”
หลูซื่อเงยหน้าส่งยิ้มให้นาง “ไม่นับว่าเร็วเกินไป ข้าเองก็เริ่มฝึกเย็บปักถักร้อยตอนห้าขวบ เพียงแต่นางมีความจำดีกว่า ผิวหนังถลอกก็ไม่ร้องเจ็บ ตอนข้าเล็กๆ นะถือเข็มกับด้ายไปร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลกับท่านแม่เป็นประจำเลย” ว่าแล้วก็หันไปมองอี๋อวี้ เห็นเด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้ายิ้มยิงฟันให้ สีหน้านางยิ่งอ่อนโยนขึ้น
หลิวเซียงเซียงรู้ว่าอี๋อวี้เคยปัญญาอ่อนอยู่นานหลายปี หลูซื่อนั้นย้ายมาจากต่างถิ่นตอนนางเยาว์วัย หลังจากพบว่าอี๋อวี้สติปัญญาไม่สมประกอบ ในหมู่บ้านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนบังเกิดความรู้สึกแปลกๆ ไม่มากก็น้อย ทั้งเห็นอกเห็นใจ รังเกียจเดียดฉันท์ และสมน้ำหน้า นางเป็นคนค่อนข้างสุภาพอ่อนน้อม ถึงยามนั้นอายุยังน้อย ก็ไม่ได้เรียกอี๋อวี้ว่า ‘คนปัญญาอ่อน’ ตามพวกเด็กเกเร แค่นึกสงสารแม่นางน้อยที่พูดไม่เป็นคนนี้อยู่ในใจ
ต่อมาเป็นปีใดก็จำไม่ได้แล้ว จู่ๆ อี๋อวี้ก็หายเป็นปกติ สกุลหลิวกับสกุลหลูนั้นเรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันออก เรือนหนึ่งอยู่ทางตะวันตก ธรรมดาไม่ใคร่ได้ไปมาหาสู่กัน อี๋อวี้ในความทรงจำของนางยังคงเป็นวันนั้นที่เจิ้งลี่ส่งคนมาที่หมู่บ้านแล้วหลูซื่อชักจูงให้ชาวบ้านระดมเงินให้ครอบครัวนาง นางมองเห็นหลูจื้อกับอี๋อวี้นั่งอยู่ด้วยกันตรงธรณีประตูพูดคุยกันอย่างสนิทสนมในลานเรือนสกุลหลู คนที่ถูกพี่ชายแท้ๆ เอาไปขายอย่างนาง เพียงรู้สึกอิจฉาสุดจะเปรียบ
ไม่คาดว่าสี่ปีให้หลังกลับได้พบกับพวกนางแม่ลูกอีกครั้งหนึ่งในจวนสกุลจาง ทั้งเกิดเหตุพลิกผันจนต้องหลบหนีออกมาด้วยกัน ในครั้งนั้นนางซาบซึ้งใจในตัวหลูซื่ออยู่แล้ว ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากว่าจะรับนางเป็นบุตรสาว นางถึงตอบตกลงอย่างปราศจากความลังเลใดๆ
มาตรว่าจะละทิ้งบ้านเดิมมายังสถานที่แปลกถิ่นแห่งนี้ ช่วงที่ผ่านมานางยังต้องลงนาทำงานทุกวัน เหนื่อยล้าจนกลับมาก็อยากทิ้งตัวลงนอน มิได้สุขสบายกว่าตอนเป็นสาวใช้ห้องข้างของเจิ้งลี่ ทว่านางชมชอบชีวิตเช่นนี้ มีญาติพี่น้องห่วงใย มีคนพูดคุยด้วยความเข้าอกเข้าใจ ยังมีคนสอนให้นางอ่านออกเขียนได้ ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงชีวิตแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะเย็บชุดให้พี่เซียงเซียง จะใช้ผ้าสีไหนเจ้าคะ” อี๋อวี้วางของในมือลงด้านข้าง ชะโงกตัวไปรื้อในถุงสะพายที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย มองเห็นผ้าสำหรับทำอาภรณ์สองสีจึงถามขึ้น
“สีบัวโรย ส่วนชิ้นสีขาวงาช้างนั่นตั้งใจจะทำเป็นเสื้อตัวในให้พวกเจ้าสองคน” หลูซื่อเงยหน้ามองอี๋อวี้แวบหนึ่งแล้วสังเกตเห็นว่าหลิวเซียงเซียงใจลอยอยู่ นางหัวร่อแผ่วๆ ตบหน้าผากบุตรสาวบุญธรรมแล้วพูด “เป็นอะไรไป ทำตามอย่างอี๋อวี้เสียแล้ว ชอบเหม่อลอยบ่อยๆ”
แววเลื่อนลอยเคว้งคว้างในดวงตาของหลิวเซียงเซียงเพราะหวนประหวัดถึงอดีตจางหายไป นางหมุนกายไปเม้มปากยิ้มกับหลูซื่อ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรม ท่านสอนตรงนี้ให้ข้าอีกทีเถอะ ข้าปักไม่ดีอยู่เรื่อย” กล่าวจบนางชี้นิ้วไปที่ลายดอกท้อบิดๆ เบี้ยวๆ บนสะดึงที่ถืออยู่ ก้มศีรษะน้อยๆ ทำท่าตั้งใจฟัง
หลูซื่อเริ่มชี้แนะนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หาได้สังเกตเห็นประกายน้ำที่วาบขึ้นในดวงตานางตอนก้มหน้าลง
โปรดติดตามตอนต่อไป…