บทที่สิบสี่
รุ่งเช้าวันต่อมา หลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงไปลงนาได้ไม่นานก็กลับมาเช่นเดิม ใบหน้าของพวกนางต่างมีรอยยิ้มจนใจ
หลูซื่อนั่งลงแล้วเห็นอี๋อวี้ทำหน้าฉงนฉงาย นางจึงอ้าปากบอก “เมื่อเช้าพวกข้าสองคนไปที่แปลงนา ปกติชาวนาที่จ้างไว้จะมาถึงแต่เช้า วันนี้กลับไม่มีใครมาเลย แล้วงานส่วนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นงานของบุรุษ พวกข้าเลยกลับมา พอเดินถึงหน้าประตูเรือนเห็นคนทะเลาะวิวาทกันอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเพ่งตามองไปดีๆ อีกทีก็เห็นว่าบุรุษสามคนที่ถูกบ่าวชายกลุ่มหนึ่งรุมทุบตีอยู่เป็นคนที่พวกเราจ้างนั่นเอง ข้ากับเซียงเซียงอย่างไรก็เป็นสตรี จะเข้าไปห้ามทัพได้อย่างไร ได้แต่ไต่ถามเอาจากคนที่มุงดูอยู่ด้านข้าง…”
ที่แท้เมื่อวานหลังจากชาวนาที่หลูซื่อว่าจ้างไว้กลับถึงหมู่บ้าน ก็ไปดูไร่หม่อนพร้อมกับเพื่อนบ้านที่ซื้อไว้ด้วยกัน พบว่าตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จริงๆ ต้นอ่อนรากเน่าไปแล้วเจ็ดส่วน ที่เหลืออยู่ล้วนมีวี่แววว่าจะรอดไปได้อีกไม่นาน ด้วยเหตุนี้วันนี้พวกเขาถึงไปหาผู้ขายไร่ให้ซึ่งก็คือสกุลสวีของตำบลหลงเฉวียน บอกว่าสกุลสวีเจตนาขายผืนดินไม่ดีผืนนี้ให้ ยังโวยวายว่าจะคืนไร่และต้องการให้สกุลสวีชดใช้เงินค่ากล้าต้นหม่อนให้พวกตน
ด้านนายท่านสวีได้ยินจุดประสงค์ที่พวกเขามา เพียงส่งพ่อบ้านออกมาบอกพวกชาวนาว่าพวกเขาปลูกพืชจนดินเสียแล้ว ฉะนั้นเขาทั้งไม่รับของคืนทั้งไม่ชดใช้เงินให้
สองฝ่ายต่างยืนกระต่ายขาเดียวว่าอีกฝ่ายผิดจนมีปากมีเสียงกัน ไม่รู้ว่าใครลงไม้ลงมือก่อน สกุลสวีมีกำลังคนมาก บ่าวในเรือนร่างใหญ่แข็งแรงเจ็ดแปดคนกลุ้มรุมชกต่อยชาวนาเหล่านั้น จึงเกิดเหตุการณ์ที่หลูซื่อและหลิวเซียงเซียงได้พบเห็น
อี๋อวี้ฟังมารดาเล่าจบ นางลงความเห็นอย่างมั่นใจ “ต้องเป็นสกุลสวีมีเจตนาหลอกพวกเขาแน่นอนเจ้าค่ะ พวกเขาจะไม่รู้หรือว่าไร่ของตนเองเป็นอย่างไร คงเห็นว่าปลูกอะไรไม่ขึ้นถึงได้ขายให้คนอื่นถูกๆ” ไร่ผืนนั้นอยู่ตรงเชิงเขา ทั้งอยู่ใกล้แม่น้ำมาก สกุลสวีหาเงินทองจากไร่นาสาโทเช่นกัน อยู่ดีๆ มีหรือจะขายให้คนอื่น เพียงตรองดูก็รู้ว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว
หลิวเซียงเซียงพยักหน้าเห็นด้วย นางกล่าวว่า “ไร่ผืนใหญ่ปานนั้น ขายแค่ยี่สิบกว่าตำลึง มิใช่หลอกลวงแล้วคืออะไร”
ขณะที่พวกนางคุยกันอยู่ พลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นระลอกหนึ่ง อี๋อวี้วิ่งไปเปิดประตู เห็นหลี่เล่อเด็กรับใช้หน้าดำยืนอยู่ด้านนอก นางกุลีกุจอเชิญเขาเข้ามาข้างใน
หลูซื่อเหลียวหน้ามองเห็นว่าเป็นเขาก็ลุกขึ้นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “มีเรื่องใดจะกำชับหรือ”
ใบหน้าของหลี่เล่อแฝงรอยเป็นห่วงจางๆ ยามเอ่ยถาม “ท่านพ่อข้าได้ยินว่าชาวนาที่พวกท่านจ้างไว้ถูกสกุลสวีทุบตี เลยใช้ให้ข้ามาถามดูว่าเรื่องการทำนาล่าช้าไปหรือไม่ ในเรือนของพวกข้าก็มีคนงานทำนา อีกทั้งยังอยู่ว่างๆ หากต้องการใช้ ตอนบ่ายจะเรียกพวกเขาติดตามพวกท่านไปลงนาขอรับ”
อี๋อวี้ได้ยินเขากล่าวอย่างนี้ อดลอบคลางแคลงใจไม่ได้ พ่อบ้านหลี่ผู้นั้นรู้ว่าลูกจ้างทำนาของครอบครัวนางถูกทุบตีได้อย่างไร เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นก็ส่งบุตรชายมาถามไถ่ เห็นชัดว่ารู้ความเคลื่อนไหวของพวกนางทุกฝีก้าวอย่างแจ่มแจ้ง ต่อให้อีกฝ่ายกระทำด้วยความประสงค์ดี นางยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้
หลูซื่อกลับไม่คิดไปถึงชั้นนี้ นางเห็นสภาพของชาวนาหนุ่มสองสามคนที่ถูกทำร้ายวันนี้ ก็รู้ว่าวันพรุ่งพวกเขาคงมาทำงานไม่ไหวเป็นแน่ เมื่อวานทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน นางกำลังกลัดกลุ้มอยู่พอดีว่างานในนาข้าวยังไม่เรียบร้อย พอหลี่เล่อมาถามตอนนี้ ใจหนึ่งอยากขอให้ช่วยเหลือ ใจหนึ่งก็ไม่อยากอาศัยบารมีผู้อื่น นางหลุบตาไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกกับเขา “เช่นนั้นก็รบกวนด้วย ข้าจำเป็นต้องยืมคนสองคนมาช่วยงานสองวัน แต่ข้าจะจ่ายค่าตอบแทนนะ”
หลี่เล่อส่ายหน้าพูด “นี่ไม่จำเป็นขอรับ คนงานของพวกข้าได้รับเงินประจำทุกเดือน ยามไม่ทำงานก็นอนหลับในห้อง อยู่ว่างๆ มิได้ทำอะไรขอรับ”
ถึงเขาจะพูดเช่นนี้ หลูซื่อมิใช่คนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นแต่ไหนแต่ไร ขออาศัยอยู่ที่นี่นางก็กระอักกระอ่วนใจพอดูแล้ว จึงยืนกรานว่าจะจ่ายเงิน ทั้งคู่บอกปัดกันไปมาครู่หนึ่ง หลี่เล่อเห็นนางมีท่าทางแน่วแน่ จำต้องตอบรับอย่างจนปัญญา
หลูซื่อเข้าไปหยิบเงินสองร้อยอีแปะออกมามอบให้หลี่เล่อ เห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกๆ อักๆ นางเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “มีเรื่องอะไรอีกหรือ”
หลี่เล่อเกาศีรษะ ละล้าละลังเป็นนานกว่าจะอ้าปากพูดด้วยสีหน้าแดงซ่าน “คือข้าจะขออภัยพวกท่านแทนพี่สาวขอรับ นางพูดจาไม่ใคร่จะระวังปากคำ หวังว่าพวกท่านอย่าได้ถือโทษเลย” พูดจบเขาไม่รอดูปฏิกิริยาของคนทั้งสาม ถือเงินวิ่งเหยาะๆ ออกไปแล้ว
หลูซื่อจับต้นชนปลายไม่ถูกกับการขอขมาอย่างคาดไม่ถึงของเขา นางหันไปถามอีกสองคน “เด็กคนนี้หมายถึงอะไร พวกเราเคยพบพี่สาวเขาเมื่อไรกัน”
หลิวเซียงเซียงส่ายหน้าอย่างงุนงง อี๋อวี้แอบหัวเราะแล้วกล่าวตอบ “ท่านแม่จำสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้ตอนพวกเราอยู่ในโถงด้านหน้าวันแรกที่มาถึงได้ไหมเจ้าคะ คนที่ลักษณะท่าทางดีสักหน่อยก็คือพี่สาวของเขา”
หลูซื่อมีความจำดีไม่เลว แม้ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังจำหน้านางได้เลาๆ “พี่สาวเขาทำอะไรหรือ อยู่ดีๆ ก็มาขอโทษพวกเรา ใช่เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่”
อี๋อวี้ไม่เปิดเผยความจริง เพียงยิ้มรับ “คงเป็นอย่างนั้นกระมังเจ้าคะ”