ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 14
ย่ำค่ำของวันถัดมา สามแม่ลูกกินอาหารมื้อเย็นแล้วนั่งทำงานฝีมืออยู่ในห้อง
หลูซื่อสนเข็มอยู่พลันได้ยินอี๋อวี้กล่าวขึ้น “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะหารือกับท่าน”
หลูซื่อเห็นเด็กหญิงวัยเยาว์พยายามวางสีหน้าขึงขังแล้ว ถามกลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ “เรื่องอะไรหรือ ว่ามาให้ฟังสิ”
อี๋อวี้ขยับเข้าไปตรงหน้ามารดา อ้าปากพูดเอื่อยๆ “พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ คงไม่ดีนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวพวกพี่ชายมากันแล้วจะทำอย่างไร พวกเราเป็นหญิงก็เลยไม่เป็นไร แต่คนทั้งครอบครัวจะอาศัยอยู่ในเรือนคนอื่นหมดได้ที่ไหนกัน”
หลูซื่อฟังนางเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ใบหน้าฉายแววจริงจังขึ้นทีละน้อย
“ข้ารู้ว่าท่านแม่อยากรอปลูกต้นปั้วเหอให้พวกเขาได้ก่อน ถึงจะออกไปเช่าเรือนอยู่ แต่ข้าได้ยินพี่หลี่บอกว่าค่าเช่าเรือนสองห้องในตำบลนี้ต้องมีเดือนละร้อยกว่าอีแปะ หนึ่งปีก็เป็นเงินสองก้วน เวลานี้พวกเราอาศัยแค่ที่นาไม่กี่หมู่นั่นกับทำงานฝีมือหาเงิน ถึงตอนนั้นจ่ายค่าเช่าไปก็เหลือเงินไม่เท่าไหร่แล้ว พี่ใหญ่สอบผ่านก็แล้วกันไป ถ้าสอบไม่ผ่าน…” อี๋อวี้กล่าวถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะ “ถ้าสอบไม่ผ่าน พวกเราต้องวางแผนกันดูว่าจะหาเงินเพิ่มขึ้นอย่างไร จะได้หาซื้อเรือนที่นี่ได้”
หลูซื่อรู้เช่นกันว่าสถานการณ์ยามนี้เป็นเช่นใด หากหลูจื้อสอบผ่าน อย่างน้อยต้องได้เป็นจิ้นซื่อ ราชสำนักก็จะปูนบำเหน็จให้เอง แต่ถ้าสอบไม่ผ่าน จะเป็นเพียงจวี่เหริน ถึงมีเกียรติยศ ราชสำนักกลับไม่มอบเงินให้สักครึ่งอีแปะ
หากยังอยู่ที่หมู่บ้านเค่าซาน สอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร ทว่าบัดนี้มาปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว ค่าใช้สอยทั้งหลายทั้งปวงล้วนสูงกว่าตอนอยู่ชนบทอย่างมาก ดังนั้นถ้าสอบไม่ผ่านจริงๆ เงินทองย่อมฝืดเคืองเป็นธรรมดา ดูจากรายได้ของพวกนางตอนนี้ ต้องรอเก็บเกี่ยวพืชผลแล้วถึงได้เงินก้อนใหญ่ เป็นเหตุให้ไม่อาจรวบรวมเงินซื้อเรือนได้ในระยะเวลาสั้นๆ
“ท่านแม่” อี๋อวี้จับสีหน้าลำบากใจของหลูซื่อได้ นางเรียกขานคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ท่านแม่ พวกเราขายถังหูลู่กันอีกดีกว่า ตำบลนี้ห่างจากเมืองฉางอันไม่ไกล ใครๆ พูดว่าที่นั่นมีคนเยอะแยะ คงจะขายดีแน่ๆ เจ้าค่ะ”
หลูซื่อกำลังหนักใจพอได้ยินบุตรสาวพูดแบบนี้ นางหลุดหัวเราะพรืดก่อนเอ่ย “เพ้อไปแล้วหรือไร ที่นี่มีผลเล็บแดงที่ไหนกัน”
หลิวเซียงเซียงด้านข้างฟังทั้งคู่คุยกันอยู่นาน พอจะเข้าใจได้แค่ครึ่งเดียว ครั้นจู่ๆ ได้ยินคำแปลกใหม่หลุดออกจากปากพวกนาง ถึงพูดแทรกขึ้น “ถังหูลู่? ผลเล็บแดง? มันคืออะไรเจ้าคะ”
หลูซื่ออธิบายให้นางฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นเอื้อมมือเอานิ้วจิ้มหน้าผากอี๋อวี้ทีหนึ่ง “เด็กคนนี้ มิใช่หยอกแม่เล่นกระมัง” สองสามถ้อยคำแรกของบุตรสาวกระทบเข้ากลางใจนางจริงๆ กำลังนึกว่าลูกคนนี้จะมีความเห็นดีๆ อะไร คาดไม่ถึงว่ากลับเป็นความคิดไร้สาระ จึงทำให้นางหัวร่อเบาๆ อย่างสุดระงับ
“ท่านแม่ ข้าเอาเมล็ดผลเล็บแดงมาด้วยเจ้าค่ะ” อี๋อวี้คลำหน้าผากป้อยๆ พร้อมกล่าวคำนี้ขึ้น เสียงหัวเราะของหลูซื่อหยุดกึกติดอยู่ที่ปาก ราวกับว่าอี๋อวี้กลัวมารดายังประหลาดใจไม่พอ นางกล่าวต่อไปว่า “ท่านแม่จำต้นเล็บแดงในป่าผืนนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ ปีก่อนมีต้นเล็กงอกขึ้นมาอีกสองต้นอยู่ทางทิศตะวันตกมิใช่หรือ มันเป็นต้นที่ข้าปลูกไว้เมื่อปีที่พวกเราเริ่มขายถังหูลู่เองเจ้าค่ะ” ในปีนั้นที่ค้นพบว่าตนเองเร่งการเติบโตของต้นไม้ได้ นางแกะเมล็ดของผลซานจาออกมาปลูกไว้ที่ข้างดงซานจา ทุกสองสามเดือนไปใส่ ‘ปุ๋ย’ ครั้งหนึ่ง ไม่ถึงสองปีก็ติดผลแล้ว
หลูซื่อไม่รู้ว่านางแอบทำเรื่องนี้ นางยกมาพูดตอนนี้เพื่อว่าอีกประเดี๋ยวจะได้โน้มน้าวใจมารดา
หลังจากหายตกตะลึง หลูซื่อนิ่งคิดอย่างละเอียด ปีที่แล้วตอนนางไปเก็บผลซานจา มีต้นเล็กสองต้นที่ว่านี้จริงๆ ยามนั้นนึกว่ามันงอกขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่เคยคิดเลยว่าบุตรสาวเป็นคนปลูกไว้ นางถามด้วยสีหน้ายินดี “เจ้าเด็กคนนี้ แม่เพียงนึกว่าเจ้าปลูกต้นไม้ดอกไม้ไว้ดูเล่นก็เก่งมากแล้ว นี่ถึงกับปลูกต้นเล็บแดงได้อีกด้วย รีบบอกแม่สิว่าเจ้าทำอย่างไร”
อี๋อวี้รู้เสียที่ไหนว่าต้นซานจานี้ปลูกกันอย่างไร นางแค่ ‘เติมปุ๋ย’ ให้พวกมันเป็นประจำ เมล็ดก็งอกเป็นธรรมดา แต่ในเมื่อหลูซื่อเอ่ยถามแล้ว นางจึงได้แต่ตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จว่า “ขุดหลุมให้ลึกสักหน่อย หมั่นดูแลสักนิด มันก็โตเองเจ้าค่ะ”
“ง่ายอย่างนี้เลยหรือ” ใบหน้าของหลูซื่อทอแววกังขา มิใช่ว่านางไม่เชื่อคำพูดของบุตรสาว เพียงแต่ยุคโบราณปลูกข้าวเป็นเรื่องง่าย ปลูกผลไม้กลับเป็นเรื่องยากมาก
“ก็เป็นอย่างนี้นะสิเจ้าคะ โธ่ ท่านแม่ ท่านเป็นคนเก็บผลบนต้นไปหมด ไฉนยังไม่เชื่อเล่า” อี๋อวี้พูดถึงขั้นนี้แล้ว มารดายังทำหน้าไม่ใคร่เชื่อถือ นึกอยู่ในใจว่าโชคดีที่ตนเองเตรียมการไว้พร้อมสรรพ นางจูงมารดาไปที่ลานเรือนด้วยกันโดยมีหลิวเซียงเซียงติดตามอยู่ด้านหลัง
“ท่านแม่ ท่านดูสิ นี่เป็นต้นที่ข้าปลูกไว้ตอนพวกเรามาถึงที่นี่สองสามวัน งอกขึ้นมาสูงขนาดนี้แล้ว” อี๋อวี้จูงหลูซื่อไปที่ข้างศาลาทรงสี่เหลี่ยม ชี้นิ้วไปยังต้นกล้าที่แตกยอดอ่อนต้นหนึ่ง มันเป็นต้นซานจาที่นางแอบปลูกเมื่อหลายวันก่อน
หลูซื่อไม่เคยเห็นว่าต้นอ่อนของซานจาเป็นอย่างไร แต่เจ้าต้นไม้เล็กๆ สูงคืบหนึ่งต้นนี้ดูเป็นต้นอ่อนที่เพิ่งงอกได้ไม่นานอย่างเห็นได้ชัด อันว่าหูได้ยินเป็นเท็จ ตามองเห็นเป็นจริง ครานี้นางสิ้นข้อสงสัยในที่สุด เพียงไต่ถามอี้อวี้อย่างอัศจรรย์ใจอีกเล็กน้อย ทั้งสามถึงกลับเข้าไปในเรือน
หลังจากนั่งลง หลูซื่อดึงอี๋อวี้มานั่งบนตัก ซักถามนางอย่างละเอียดเช่นว่าเอาเมล็ดพันธุ์มาเท่าไรและอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งคู่คุยกันเกือบครึ่งชั่วยาม พอหลูซื่อมั่นอกมั่นใจแล้ว กลับต้องคาดไม่ถึงเมื่ออี๋อวี้กล่าวถ้อยคำนี้ขึ้นในตอนท้าย
“ท่านแม่ พวกเราซื้อไร่ของสกุลสวีดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลูซื่อนิ่งงันไป ก่อนจะเอ่ยอย่างฉงนใจ “พวกเรามีที่นาของตนเองแล้ว อยู่ดีๆ จะซื้อไร่ผืนนั้นทำอะไร พวกเรากั้นแปลงนาส่วนหนึ่งไว้ปลูกต้นเล็บแดงโดยเฉพาะก็สิ้นเรื่อง”
หลิวเซียงเซียงพูดแทรกขึ้นในเวลานี้ “เสี่ยวอวี้ เจ้าลืมแล้วหรือว่านั่นเป็นผืนดินไร้ค่า ซื้อไม่ได้หรอก” นางกลับไม่ล่วงรู้ว่าสิ่งที่อี๋อวี้ไม่กลัวเลยก็คือผืนดินไร้ค่า
อี๋อวี้เตรียมคำอธิบายไว้แต่แรก พอพวกนางตั้งคำถามก็ตอบด้วยรอยยิ้มกริ่ม “ท่านแม่ ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือที่พี่ใหญ่ซื้อมา ตรงเชิงเขามีผืนดินแบบหนึ่งที่ปลูกต้นหม่อนไม่ขึ้น แต่เหมาะกับการปลูกต้นเล็บแดงเจ้าค่ะ” หลายปีก่อนพอครอบครัวของพวกนางมีฐานะดีขึ้น หลูจื้อจะไปเสาะหาพวกหนังสือปกิณกะในตัวอำเภอบ่อยๆ และมักเอากลับบ้านมาอ่านด้วยกันกับอี๋อวี้ ซึ่งหลูซื่อก็รู้เรื่องนี้
อี๋อวี้เห็นหลูซื่อก้มหน้าตรึกตรอง จึงรอคอยนางตั้งคำถามต่อ ถ้ายังไม่เชื่ออีก ค่อยออกความคิดให้ย้ายต้นอ่อนซานจาต้นนั้นไปปลูกตรงไร่เชิงเขาผืนนั้น วันที่สองก็ได้รู้กันว่าจะรอดหรือไม่
นางคิดไม่ถึงว่าพอมารดาเงยหน้าแย้มยิ้มกับนางแล้ว ใบหน้าจะเคร่งขรึมลงฉับพลัน พร้อมกับตวาดใส่นางเสียงดุดัน “เจ้า!”
สิ้นเสียงตวาด หลูซื่อเอื้อมมือมาฉุดตัวบุตรสาวที่สะดุ้งตกใจเพราะนางทำหน้าบึ้งกะทันหันมาพาดบนตัก “เจ้าเด็กคนนี้! ไฉนใจดำแบบนี้ เจ้าคงรู้ว่าไร่ผืนนั้นมีปัญหาตั้งแต่เมื่อวานแล้วสินะ ไม่ว่าเรื่องปลูกผลไม้นั่นจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตาม แต่เจ้าหว่านล้อมจนข้าเห็นดีด้วยแล้วค่อยพูดออกมา ทั้งๆ ที่เจ้ามีเจตนาร้ายหมายปองไร่ของผู้อื่นชัดๆ เห็นข้าเป็นคนโง่หรือไร! พวกเขากับพวกเราแต่ก่อนไม่มีความแค้นต่อกัน ตอนนี้ก็มิได้ผูกอาฆาตกัน เหตุใดเจ้าใจดำอย่างนี้!” ว่าแล้วก็ถอดกางเกงอี๋อวี้ออก เผยก้นน้อยๆ ขาวนุ่มนิ่มของนางออกมา
หลูซื่อฟาดฝ่ามือลงไปเต็มแรงสองที แล้วพูดต่อไปอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พี่รองมีนิสัยซื่อตรง ส่วนพี่ใหญ่ภายนอกเย็นชาแต่ข้างในอบอุ่น เหตุใดเด็กผู้หญิงอย่างเจ้ามีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรเอง หือ? ข้าสงสารที่เจ้าเคยผ่านเคราะห์กรรมตอนวัยเยาว์ ปกติถึงไม่ใคร่เข้มงวดเจ้ามากนัก กลับบ่มเพาะให้เจ้ามีนิสัยเช่นนี้ วันนี้ข้าจะตีเพื่อดัดนิสัยของเจ้า” สิ้นเสียงนางก็เป็นเสียงฝ่ามือฟาดกระทบเนื้อดังเพียะๆ ระลอกหนึ่ง
แรกเริ่มหลิวเซียงเซียงตกใจเพราะหลูซื่อ แต่พอเห็นนางไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย ก็อุทานเสียงหลงแล้วปรี่เข้าไปห้ามปราม ทว่าหลูซื่อกำลังโกรธจัด ไม่รู้จักเพลาไม้เพลามือ ไหนเลยหลิวเซียงเซียงจะยับยั้งนางได้ไหว
อี๋อวี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนตักหลูซื่อเบิ่งตาโต จวบจนความเจ็บปวดแล่นมาจากบั้นท้าย ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองโดนตี!
ในหัวสมองนางว่างเปล่าไปอึดใจหนึ่ง ต้นซานจา ต้นหม่อน เหย้าเรือนไร่นาอะไรทั้งหลายแหล่ล้วนถูกลืมเลือนไปสิ้น ข้างหูได้ยินแต่คำดุด่าของหลูซื่ออย่างชัดเจน ถึงกระจ่างแจ้งว่าตนเอง ‘ผิด’ ตรงไหน ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจพลันพลุ่งขึ้นกลางอก พาให้ลำคอตีบตัน และแล้วนางก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมา