เรื่องที่โดนตีไป อี๋อวี้มิได้เห็นว่าตนเองทำผิดอะไร ด้วยความน้อยอกน้อยใจทำให้นางไม่ยอมเป็นฝ่ายขอคืนดีกับมารดาก่อน ข้างฝ่ายหลูซื่อยิ่งไม่อยากพูดกับนางสักคำหลังจากเกิดเรื่องขึ้น ตอนกินข้าวเข้านอนก็ไม่เหลียวแลนางแม้แต่น้อย
หลิวเซียงเซียงเห็นคนทั้งสองเป็นอย่างนี้ ได้แต่ร้อนใจอยู่ด้านข้างโดยที่ทำอะไรไม่ได้ นางคะยั้นคะยอให้อี๋อวี้ก้มหน้ายอมรับผิดต่อหลูซื่อ เด็กหญิงตัวน้อยก็ดื้อเหมือนลา เอาแต่พูดเสียงแข็งว่าตนเองไม่ผิด ครั้นเกลี้ยกล่อมให้หลูซื่อเลิกโกรธ หลูซื่อแค่นเยาะเสียงหนึ่ง ยืนกรานว่าต้องให้คนบางคนยอมรับว่าตนเองผิดให้ได้
หลิวเซียงเซียงถูกขนาบอยู่ระหว่างสองแม่ลูกเพียงรู้สึกทั้งจนปัญญาทั้งชวนขัน จนบัดนี้นางยังไม่ใคร่แจ่มแจ้งว่าพวกนางเอาชนะคะคานอะไรกันอยู่ ทั้งคู่เย็นชาใส่กันเช่นนี้จนวันที่สาม สถานการณ์ถึงดีขึ้น
วันนี้ทั้งสามปักผ้าอยู่ในห้อง หลิวเซียงเซียงกับหลูซื่อนั่งบนเตียง ส่วนอี๋อวี้ยกม้านั่งไปนั่งห่างจากพวกนางไกลๆ
ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูเรือนดังขึ้น หลูซื่อออกไปดู ที่แท้เป็นเด็กรับใช้คนหนึ่งตั้งใจมาแจ้งให้ทราบว่าลูกจ้างทำนาของนางรอรับค่าตอบแทนอยู่หน้าประตู นางย้อนกลับเข้าเรือนหยิบเงินออกมา และเรียกให้หลิวเซียงเซียงออกไปด้วยกัน
ผ่านไปสองเค่อ หลูซื่อเดินหน้าบึ้งเข้ามาในห้องพร้อมกับหลิวเซียงเซียง นางนั่งลงบนขอบเตียงแล้วจ้องอี๋อวี้ตาเขม็ง จนกระทั่งเด็กหญิงรู้สึกชาวาบๆ ที่หนังศีรษะ
นานพักใหญ่ หลูซื่อปริปากพูดเสียงกระด้าง “ไม่รู้เลยว่าความคิดในหัวเจ้าซับซ้อนยอกย้อนกี่ตลบ กระทั่งเรื่องนี้เจ้ายังคาดเดาได้ เจ้าคิดได้แต่แรกแล้วว่าพวกเขาต้องขายไร่ต่อราคาถูกๆ ใช่หรือไม่ จนสุดท้ายคงเหลือราคาไม่เท่าไหร่ ฉะนั้นถึงสรรหาวิธีมาโกหกข้า”
อี๋อวี้อึ้งงันไป นางยังคิดตามคำพูดของมารดาไม่ทัน ก็ได้ยินนางกล่าวขึ้นอีก “ลูกจ้างทำนาของพวกเราล้วนพูดว่าเวลานี้ในตำบลโจษจันกันไปทั่วว่าไร่ผืนนั้นต้องคำสาป เดิมทีขายให้คนที่สร้างโรงนาพวกนั้นยังได้สักสิบกว่าก้วน ตอนนี้สิบก้วนกลับไม่มีคนกล้าเอา พวกเขาร้อนเงิน เลยถามว่าข้าอยากซื้อไว้หรือไม่ เจ้าว่ามาเจ้ารอให้พวกเขาขายไร่ราคาต่ำๆ จะได้ฉกฉวยโอกาสใช่หรือไม่”
อี๋อวี้อดรนทนไม่ไหวในที่สุด นางไต่ถามคำหนึ่ง “ท่านแม่ ไฉนข้าฟังไม่รู้เรื่อง ท่านเข้าใจผิดหรือเปล่า ข้าไม่เคยคิดเอาเปรียบพวกเขานะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นหรือ” หลูซื่อถลึงตาใส่บุตรสาว “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าไร่ผืนนั้นปลูกต้นเล็บแดงได้ รีบบอกแต่แรกก็สิ้นเรื่อง ไยต้องรอจนพวกเขาไปก่อเรื่องวิวาทที่จวนสกุลสวีถึงได้พูดกับข้า หรือมิใช่เห็นว่าไร่ของพวกเขาถูกลือว่าเป็นผืนดินไร้ค่า ทั้งถือว่าตนเองมีเมล็ดพันธุ์ต้นเล็บแดงอยู่ จึงรอให้ราคาของมันตกต่ำลง จะได้ฉกฉวยประโยชน์”
อี๋อวี้เผยสีหน้าประจักษ์แจ้งในบัดดล ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในเวลานี้คือ…วันนั้นโดนตีเปล่าๆ แล้ว!
นางถึงว่าทำไมพอหลูซื่อได้ยินนางเอ่ยถึงไร่ผืนนั้นแล้วต้องโมโหโทโสปานนี้ ตอนนั้นยังนึกว่าจู่ๆ เลือด ‘รักความยุติธรรม’ ของมารดาพลุ่งพล่านขึ้นมา นางเพิ่งรู้ตอนนี้ว่าที่แท้เป็นเพราะนึกว่านางหมายปล้นชิงตามไฟ! ช่างไม่รู้จริงๆ ว่าสมควรชมเชยท่านแม่ที่เห็นว่านางฉลาดเหลือเกิน หรือตัดพ้อที่เห็นว่านางเลวร้ายเหลือเกินดี
“ท่านแม่” อี๋อวี้เบะปาก ข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากกลอกตาขึ้นไว้แล้วสาวเท้าไปหาหลูซื่อ นางแหงนดวงหน้าน้อยๆ ขึ้นพร้อมพยายามปั้นหน้าสะเทือนใจ “เสี่ยวอวี้เพิ่งอายุเท่าไหร่เอง ข้าเป็นคนเลวอย่างที่ท่านแม่คิดไว้เพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ ข้ายังนึกว่าท่านแม่ตีข้าเพราะข้าอยากได้ไร่ของคนอื่น ที่แท้เป็นเพราะ…ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะเอาเปรียบใคร ตอนนั้นข้าหมายถึงว่าอย่างไรพวกเขาก็ปลูกอะไรไม่ขึ้น ส่วนพวกเราปลูกต้นเล็บแดงเป็น มิสู้ซื้อไร่ผืนนั่นมาด้วยราคาเท่าเดิม ยังดีกว่าพวกเขาเก็บผืนดินไร้ประโยชน์ไว้เท่านั้นเอง”
“อย่ามาโกหกข้า เงินทั้งหมดของพวกเราเหลืออยู่ไม่กี่ก้วน ตอนพวกเขาซื้อไร่ผืนนั้นต้องจ่ายไปยี่สิบตำลึงเชียวนะ”
อี๋อวี้ลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง รู้ว่าถ้าไม่หยิบ ‘หลักฐาน’ อะไรออกมาบ้าง มารดาคงไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของตน ถึงจะลอบสะเทือนใจอยู่สักหน่อย กระนั้นเริ่มแรกก็เป็นนางที่จงใจชักจูงความคิดของหลูซื่อมาในทางนี้เอง นางชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นไปตรงหน้าตู้ทรงสูงเขียนลายใบนั้น เปิดประตูตู้ออก และใช้สองมือประคองถุงผ้าหนักๆ ใบหนึ่งในนั้นออกมา
นางวางมันลงข้างกายหลูซื่อบนเตียง หลังมองสบสายตางุนงงสองคู่ อี๋อวี้ยกมือจับๆ ที่ติ่งหู จากนั้นเอื้อมมือไปเปิดถุงผ้าออก ลมหายใจของหลูซื่อกับหลิวเซียงเซียงสะดุดวูบหนึ่งโดยพลัน
ก้อนเงินเล็กบ้างใหญ่บ้างเจ็ดแปดก้อนส่องประกายขาววาบวับอยู่ในถุง ทำให้พวกนางสองคนเบิกตาโพลงทันที หลูซื่อถามบุตรสาวด้วยเสียงลอดไรฟัน “นี่มาจากไหน”