ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 14
เมื่อปรับความเข้าใจกันได้ สองแม่ลูกกอดกันกลมคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่ง ถึงเลื่อนสายตามองไปที่ก้อนเงินห่อนั้นบนเตียง
หลูซื่อใช้มือกะประมาณน้ำหนักทีละก้อนพลางคิดคำนวณในใจ มีถึงราวสามสิบกว่าตำลึงเลยทีเดียว
อี๋อวี้นั่งอยู่ในอ้อมอกหลูซื่อ สองแขนโอบคอนาง กล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ หยกชิ้นนั้นเอาไปจำนำได้ตั้งสามสิบตำลึง รวมกับแหวนทางวงนั้นแล้วทั้งหมดสามสิบหกตำลึง นี่เท่ากับเงินสามสิบกว่าก้วนเลยนะเจ้าคะ”
ได้ทรัพย์ก้อนนี้มาเปล่าๆ จะบอกว่าไม่ดีใจนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อคิดถึงว่าใช้ของพวกนั้นแลกมันมา หลูซื่อยังตะขิดตะขวงใจอยู่ดี
อี๋อวี้เห็นสีหน้ามารดาแล้วนึกว่านางไม่ชอบใจ กระชับมือที่โอบรอบคอนางแน่นขึ้น เอ่ยถามด้วยหน้าตากังวลใจ “ท่านแม่ ข้าเอาของพวกนั้นไปแลกเป็นเงิน ท่านโกรธแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
แม้นบุตรสาวจะพูดแทงใจดำ ทว่าพอเห็นนางทำหน้าตื่นตระหนก หลูซื่ออดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ “แม่ไม่สบายใจอยู่สักหน่อยจริงๆ ตอนนั้นพวกเขาใช้หยกชิ้นนั้นเป็นหลักฐานใส่ร้ายพวกเรา ยามนี้กลับต้องเอามันมาแลกเป็นเงิน…แต่แม่ไม่ได้โกรธเจ้านะ”
อี๋อวี้ลอบระบายลมหายใจเฮือก ก่อนพูดกล่อมต่อเสียงอ่อนๆ “นั่นมีอะไรต้องไม่สบายใจด้วยเจ้าคะ ท่านแม่สมควรสาแก่ใจจึงจะถูก พวกเราเอาของราคาแพงอย่างนั้นของพวกเขามา หลังจากพวกเขารู้เรื่องต้องเจ็บใจทีหลังเป็นแน่ ตอนนี้ยังแลกเป็นเงินเอามาใช้อีก สาแก่ใจดีนัก! พี่เซียงเซียง พี่ว่าจริงไหมเจ้าคะ”
เห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากอี๋อวี้ หลิวเซียงพยักหน้าเออออด้วยทันที “ท่านแม่บุญธรรม ข้าก็รู้สึกสาแก่ใจเหมือนกัน โชคดีที่เสี่ยวอวี้เก็บของพวกนี้มา เวลานี้พวกเราทั้งมีเงินทอง ทั้งได้ระบายโทสะ อย่างไรก็คุ้มค่านะเจ้าคะ”
หลูซื่ออึ้งงันไปเล็กน้อย…เป็นเหตุผลนี้หรือ หยกชิ้นนี้สูงค่าปานนี้ คนต่ำช้าพวกนั้นพบว่าหยกที่ใช้ใส่ความนางหายไป จะไม่ร้อนใจแทบตายหรือ พอคิดไปเช่นนี้ นางก็รู้สึกสาแก่ใจมากจริงๆ
“เมื่อครู่อยู่ข้างนอก ข้าบอกกับคนที่มารับค่าจ้างแล้วว่าไร่ผืนนั้นปลูกต้นเล็บแดงได้ แต่พวกเขาไม่เชื่อสักนิดว่าตรงนั้นจะปลูกอะไรรอด เลยปลงใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขายต่อ ดังนั้นถึงไถ่ถามข้าว่าจะซื้อมันไว้ได้หรือไม่ แต่ที่ผืนนั้นมีสิบหมู่ หากปลูกได้แต่ต้นเล็บแดง พวกเรามิต้องปลูกต้นนี้ทั้งหมดหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป มิสู้เอาเงินซื้อเรือนจะดีกว่า”
กล่าวถึงตรงนี้ นางมองอี๋อวี้ด้วยสายตาแปลกพิกล “แล้วเจ้าคิดอย่างไร แม่น่ะอ่านใจเจ้าไม่ออก ถ้าเจ้าอยากซื้อในราคาเท่าเดิมจริงๆ หาได้มีใจเอาเปรียบผู้อื่น ลองบอกความคิดของเจ้าให้แม่ฟังอย่างชัดเจน พวกเราจะได้วางแผนด้วยกัน”
อี๋อวี้สองจิตสองใจครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้น “ท่านแม่ ข้าพูดแล้วท่านอย่าตีข้าอีกนะ” เห็นหลูซื่อทำหน้ายิ้มแย้ม นางจับติ่งหูพร้อมพูด “ในตำราไม่ได้บอกแค่ว่าปลูกต้นเล็บแดงได้ เพียงบอกว่าปลูกต้นหม่อนไม่ได้ ส่วนต้นอื่นๆ ล้วนได้หมด ข้าเห็นคนแถวนี้ปลูกต้นหม่อนทั้งนั้น ไม่มีใครปลูกผลไม้ ดูทีว่าเมื่อก่อนสกุลสวีก็คงปลูกแต่ต้นหม่อน พอรู้ว่าปลูกไม่ได้ถึงขายถูกๆ” นางลอบคับอกคับใจอยู่เช่นกัน นี่เป็นคำพูดที่ตระเตรียมไว้ตั้งแต่วันก่อน คิดไม่ถึงว่าต้องโดนตียกหนึ่งแล้วผ่านไปสองวันกว่าจะได้พูดออกจากปาก
อี๋อวี้เห็นหลูซื่อมิได้บันดาลโทสะก็ตีเหล็กเมื่อร้อน กล่าวขึ้นอีก “ท่านแม่ ในเมื่อพวกเขาไม่เชื่อว่าที่นั่นปลูกพืชได้ แล้วท่านก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าพวกเขากำลังร้อนเงิน ขณะที่ตอนนี้พวกเรามีเงินแล้ว ข้าว่าซื้อไร่ผืนนั้นไว้เถอะ พวกเราซื้อด้วยราคาเท่าเดิม นับเป็นการช่วยเหลือพวกเขาแล้ว อย่างไรก็ดีกว่าพวกเขาปลูกอะไรไม่ได้ ซ้ำยังขายไม่ออก ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ จนหญ้าขึ้นรกเป็นไหนๆ นะเจ้าคะ”
หลังหลูซื่อมองบุตรสาวนานพักหนึ่ง เอานิ้วจิ้มหน้าผากนางพลางถาม “เจ้ามั่นใจหรือ นี่มิใช่เรื่องเล่นสนุกนะ ถ้าปลูกผลไม้ได้จริงๆ ซื้อที่ผืนนั้นไว้ก็ทำได้อยู่ แต่ถ้าปลูกไม่ขึ้นล่ะ”
“ท่านแม่ ในลานเรือนของเรามีต้นอ่อนเล็บแดงอยู่ไม่ใช่หรือ ลองย้ายไปปลูกที่นั่นเงียบๆ ดูสักสองสามวันก็รู้เองว่าจะรอดหรือไม่”
อี๋อวี้พูดมาทั้งหมดนี้กลับเป็นการใช้ลูกไม้ตะล่อมหลูซื่อดังเก่า ยามนี้แผลหายดีไม่เจ็บแล้ว นางก็ลืมเลือนไปสนิทใจว่าวันก่อนตนเองโดนตีเพราะว่าพูดจาหว่านล้อมล่อหลอกมารดา
หลูซื่อจับผิดจากถ้อยคำนางได้ ถ้าลองปลูกต้นเล็บแดงได้ ชาวนาพวกนั้นต้องเชื่อว่าที่นั่นใช้ประโยชน์ได้ แล้วยังต้องให้นางซื้อไว้เพื่อช่วยเหลือพวกเขาอีกหรือ
ถึงกระนั้นนางไม่ใช่คนดีแสนประเสริฐที่ไหน ปกติทางการจะแจกจ่ายที่นาให้ราษฎรบ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ต่อเมื่อขึ้นทะเบียนเรือนแล้ว หลังจากนั้นต้องใช้เงินซื้อหาเอาเอง หากไร่ผืนนั้นใช้ประโยชน์ได้ และซื้อด้วยราคาเดิมก็เป็นเรื่องดีไม่มีอะไรเกินจริงๆ
อี๋อวี้ยังไม่รู้ว่าหลูซื่อคาดเดาความคิดตนเองออกแล้ว เห็นนางหยุดตรึกตรองก็นึกไปว่าจะทำตัวเป็นคนดีพร่ำเพรื่อ จึงพูดอย่างลุกลน “ท่านแม่ ต้นซานจาออกผลได้ในสองปี แท่งหนึ่งหกลูก ต้นหนึ่งมีผลอย่างน้อยสามร้อยกว่าลูก เมล็ดที่ข้าเอามาปลูกได้สิบห้าต้น ถังหูลู่แท่งหนึ่งเอาไปขายที่ฉางอันต้องได้ยี่สิบสามสิบอีแปะเป็นอย่างต่ำ ถึงเวลาพอมีเมล็ดแล้ว พวกเราปลูกต่อไปอีก รอเมื่อพวกเราเก็บเงินเก็บทองได้ค่อยจ้างคนงาน ไม่จำเป็นต้องลงมือเองอีก เมื่อนั้นพวกเราค่อยสร้างเรือนในตำบลหลงเฉวียนก็ยังได้นะท่านแม่”
หลูซื่อปรายตามองนางแวบหนึ่งก่อนเอ่ยขันๆ “รอตกบ่ายแล้วพวกเราค่อยแอบไปที่นั่นกัน”
หากเป็นเงินที่หาได้ด้วยตนเอง หลูซื่อต้องนำไปซื้อเรือนแน่นอน ทว่าเงินพวกนี้ได้มาเปล่าๆ ประกอบกับคิดถึงที่การขายปิงถังหูลู่เมื่อปีก่อนก็ได้กำไรไม่น้อย สุดท้ายนางยังคงเลือกเห็นแก่ตัวสักหนตามคำยุยงของอี๋อวี้