บทที่สิบห้า
“เป็นกลิ่นนี้นี่ล่ะ”
เสียงทุ้มต่ำของหนุ่มน้อยประหนึ่งอสนีบาตที่ฟาดลงมาทำให้อี๋อวี้ที่นิ่งงันไปสะดุ้งรู้ตัว!
นางดึงสติที่เคลิ้มลอยไปกับความหล่อเหลากลับมาแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อน จากนั้นเบนสายตาออกจากนัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่นั้น สูดลมหายใจสองสามทีให้หัวใจที่เต้นถี่รัวกลับเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
หลังสงบอกสงบใจลงได้ นางต่อว่าต่อขานในใจ ไฉนท่านผู้มีพระคุณคนนี้ถึงแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปทุกคราที่พบเจอกัน จากคนประหลาดไร้มนุษยสัมพันธ์ มาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ผึ่งผาย จนถึงนัยน์ตาทรงเสน่ห์สีเขียวมรกตเบื้องหน้านี้ บันดาลให้เขากลายเป็นหนุ่มน้อยเลือดผสมรูปงามไปเสียแล้ว
อี๋อวี้ลอบมองดูสีของลูกตาคู่นั้นซ้ำอีกคราหนึ่งจนแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเอง ความอยากรู้อยากเห็นก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาทันควัน ดวงตาที่ละม้ายลูกแก้วคู่นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรกัน ด้วยนี่คือสิ่งบ่งบอกว่าเป็นพวกเลือดผสม ไหนบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ตาเลยโดนแสงไม่ได้มิใช่หรือ ทำไมตอนนี้หายดีแล้ว ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ ในคฤหาสน์พักผ่อนหลังนี้เคยเห็นดวงตาที่ผิดแปลกคู่นี้ของเขาหรือไม่ อี๋อวี้นั้นย่อมชินตากับคนเลือดผสมจนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกอันใด แต่ผู้คนในยุคโบราณสามารถยอมรับได้มากถึงขั้นนั้นหรือ
กล่าวไปแล้วคุณชายฉางผู้นี้ช่างลึกลับเอาการอยู่ คฤหาสน์เสียนหรงหลังใหญ่ขนาดนี้ มีเขาเป็นเจ้านายคนเดียวก็ช่างเถิด แต่ดูคล้ายยังไม่มีคนรู้ว่าคุณชายฉางมีนามเต็มว่าอะไร ทุกคนต่างเรียกขานเขาด้วยความยกย่องแค่ว่า ‘คุณชาย’ แม้พวกหลูซื่อจะสนใจใคร่รู้เป็นอันมาก แต่หาได้มีเจตนาสืบถามความเป็นมาของผู้มีพระคุณของตน ส่วนพ่อบ้านหลี่นั่นเคยเอ่ยขึ้นคราหนึ่งว่าตนเป็นบ่าวที่เขาซื้อเข้ามาเมื่อสามปีก่อน
อี๋อวี้ค่อยๆ เขยิบตัวไปด้านข้างให้ห่างจากดวงหน้าที่อยู่ในระยะประชิดเกินไปแล้วชวนให้หัวหมุนคว้าง นางลุกขึ้นยืนแล้วกระโดดออกจากแปลงดอกไม้ด้วยท่าทางว่องไวปราดเปรียว ยังถอยหลังไปอีกหลายก้าวหยุดยืนตรงจุดซึ่งไกลจากคนที่อยู่ข้างแปลงดอกไม้ผู้นั้นออกไปครึ่งจั้ง ถึงเผยรอยยิ้มแห้งๆ พร้อมส่งเสียงเรียกขานออกมา “ผู้มีพระคุณ”
คุณชายฉางที่นั่งยองๆ บนพื้นลุกขึ้นยืนตัวตรงอย่างเชื่องช้า แสงตะวันบ่ายคล้อยอาบไล้เสี้ยวหน้างามสง่าและเสื้อคลุมยาวสีฟ้าเข้ม อี๋อวี้เลื่อนสายตาไปมองหน้าเขา เห็นเรียวปากที่ทาทาบด้วยประกายสีทองครึ่งหนึ่งหยักแย้มขึ้นเล็กน้อย ชั่วขณะเดียวก็ทำให้จิตใจนางปั่นป่วนอีกแล้ว
นี่…นี่…นี่เขายังจะเป็นหนุ่มน้อยสดใสเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์อีกด้วยหรือ
คุณชายมองนางด้วยแววตาราบเรียบพลางเอ่ย “ที่แท้หน้าตาเจ้าเป็นอย่างนี้”
รอยยิ้มบางๆ กลางแสงแดดเมื่อครู่นี้คล้ายเป็นภาพลวงตา ตอนที่อี๋อวี้มองไปอีกครา รู้สึกได้ว่าใบหน้าของคนผู้นี้กลับไปเคร่งขรึมไร้ความรู้สึกใดๆ ดังเดิม นานๆ ทีท่านผู้มีพระคุณเป็นฝ่ายกล่าววาจากับนางก่อน นางกลับพบว่าตนเองไม่อาจพูดตอบได้สักนิด หรือจะให้บอกว่า ‘ใช่น่ะสิ หน้าตาข้าก็เป็นอย่างนี้เอง’ หรือ ‘ขออภัยด้วยที่หน้าตาข้าเป็นอย่างนี้’ ทว่าสองประโยคนี้ล้วนกวนโมโหอยู่มาก ด้วยเหตุนี้นางได้แต่หัวเราะแห้งๆ เป็นคำรบที่สอง
คุณชายฉางอาจมิได้ตั้งใจฟังคำตอบจากนาง พอกล่าวถ้อยคำหนึ่งจบ เขาก้มหน้าลงดูอาภรณ์ของตนเอง อี๋อวี้มองตามสายตาเขาไป ปราดเดียวก็เห็นเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าไหมชั้นดี มีรูกว้างสองฉื่อจากต้นขาซ้ายยาวไปถึงน่องปรากฏขึ้น เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีขาว ส่วนผ้าชิ้นที่ถูกนางดึงขาดเมื่อครู่นี้นั้นยังติดอยู่ตรงชายเสื้อคลุมห้อยลงมาระพื้น
เสียงหัวเราะของอี๋อวี้ชะงักกึกที่ลำคอ นางจับๆ ติ่งหูอย่างละอายใจ พร้อมพูดเสียงกระซิบ “เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้เจตนาเจ้าค่ะ” ในใจกลับพูดว่า ใครใช้ให้ท่านจู่ๆ ก็มายืนอยู่ด้านข้าง ทำให้ข้าสะดุ้งตกใจ
เขาไม่แยแสคำขอขมาของนาง ใช้มือข้างหนึ่งยกชายเสื้อที่มีผ้าขาดห้อยร่องแร่งขึ้น ฉีกออกดังแควกแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง จากนั้นหมุนกายจากไปโดยไม่มองนางแม้สักแวบเดียว
จวบจนแผ่นหลังของเขาหายลับไปตรงหัวมุมประตูเรือน อี๋อวี้ถึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ลอบรำพึงว่าเคราะห์ดีที่เขาไม่ได้ให้ชดใช้ แพรพรรณนั่นดูท่าทางราคาไม่ถูกเลยจริงๆ
นางปัดฝุ่นดินบนตัวออกระหว่างที่เดินไปที่ข้างแปลงดอกไม้ตรวจดูว่าต้นปั้วเหอที่ถูกนางล้มทับพวกนั้นยังพอมีทางรอดหรือไม่ หากในใจกลับฉงนสนเท่ห์ว่าคนที่ไม่มีข่าวคราวมาเกือบสองเดือน เหตุใดจึงมาที่นี่กะทันหัน หรือเพราะสนใจความคืบหน้าของต้นปั้วเหอนี้กันนะ