หลูซื่อไปพบพ่อบ้านหลี่กลับมา ทันทีที่ก้าวเข้าประตูมาเห็นอี๋อวี้นั่งซักผ้าอยู่ในลาน นางเอ่ยถามอย่างงุนงง “อาภรณ์เพิ่งผลัดเปลี่ยนเมื่อเช้า เหตุใดเอามาซักตอนนี้”
อี๋อวี้เบะปากตอบ “หกล้มในแปลงดอกไม้จนเปรอะดินไปทั้งตัวเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านรู้ไหมว่าข้าได้เจอกับผู้ใด”
“เจอผู้ใดหรือ”
“เมื่อครู่นี้คุณชายฉางมาที่เรือนเราเจ้าค่ะ”
หลูซื่อประหลาดใจในทีแรก ต่อมาก็เอ่ยด้วยสีหน้ากังขา “เมื่อครู่นี้พ่อบ้านหลี่เรียกข้าไปหา บอกว่าพรุ่งนี้จะไปเมืองฉางอันกับพวกเรา ให้พวกเราไม่ต้องเช่ารถม้าในเมืองแล้ว เจ้าว่าคุณชายฉางจะไปด้วยใช่หรือไม่”
เห็นอี๋อวี้สั่นศีรษะเป็นเชิงว่าไม่รู้ หลูซื่อคิดคำนึงในใจ ในเมื่อรู้ว่าเขากลับมาแล้วสมควรไปเยี่ยมคารวะสักหน่อย ดังนั้นนางบอกกล่าวบุตรสาวคำหนึ่งแล้วหันหลังสาวเท้าออกจากเรือน ผ่านไปถึงครึ่งเค่อก็ย้อนกลับมา อี๋อวี้เห็นสีหน้านางก็รู้ว่าไม่พบคน จึงไปตากเสื้อผ้าโดยไม่พูดไม่ถามอะไรมาก
เพราะคราวนี้ไปเมืองฉางอันเพื่อแจ้งข่าวให้หลูจื้อรับรู้เท่านั้น หลิวเซียงเซียงอ้างว่าไม่สะดวกขอรั้งอยู่ที่เรือน เช้าวันต่อมา หลูซื่อพาอี๋อวี้ไปรอคอยที่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์พักผ่อนก่อนเวลาที่นัดหมายกับพ่อบ้านหลี่หนึ่งเค่อ
ยามนี้มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่นอกประตูแล้ว ลักษณะภายนอกงดงามหรูหรากว่าคันที่อี๋อวี้เคยเห็นครั้งแรก อาชาเทียมรถสองตัวอาจดูไม่แข็งแรงล่ำสันเหมือนม้าสีปลั่งแก่ก่อนหน้านี้ แต่คึกคักประเปรียวอย่างมาก
สารถีซึ่งยิ้มอวดไรฟันกับพวกนางคืออาเซิงที่มิได้พบหน้าค่าตามาหลายวัน หลูซื่อพาอี๋อวี้ก้าวเข้าไปทักทาย ไม่นานนักพ่อบ้านหลี่เดินออกมาจากข้างใน เห็นหลูซื่อรออยู่ข้างรถม้า เขาเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ฮูหยินขึ้นไปรอบนรถม้าสักครู่ ประเดี๋ยวคุณชายก็มาถึงแล้ว”
สองแม่ลูกสบตากับแวบหนึ่ง นึกในใจว่าคุณชายฉางร่วมเดินทางไปด้วยดังคาด
จากนั้นพวกนางขึ้นไปนั่งรถบนรถม้าไม่ถึงหนึ่งเค่อ เห็นม่านกั้นถูกเปิดออกจากด้านนอก คุณชายฉางในชุดแพรสีฟ้าน้ำทะเลแหวกชายเสื้อไปด้านข้างก้าวเข้ามาในตัวรถม้า นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพวกอี๋อวี้
ด้านในรถม้าปิดมิดชิดทุกด้าน ก่อนอาเซิงจะปล่อยผ้าม่านลง หลูซื่อกวาดสายตาไปเห็นดวงตาที่ผิดแปลกจากคนทั่วไปของคุณชายฉางคู่นั้น กลับมิได้ตกตะลึงอย่างที่อี๋อวี้นึกไว้ นางแค่นิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว
“ผู้มีพระคุณ” หลูซื่อเรียกขานทักทายคำหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาอะไร ทั้งรู้นิสัยไม่ชอบพูดจาของเขาดี นางก็เลยไม่รบกวนต่อ
อี๋อวี้อาศัยแสงรำไรเห็นคุณชายฉางหลับตาทำสมาธิเช่นเคยแล้วกลอกตาขึ้นอย่างระอา ฝ่ายหลูซื่อเห็นบุตรสาวลอบทำกิริยาไม่เหมาะก็ขึงตาปราม นางถึงไม่ทำแผลงๆ อีก เพียงบ่นอยู่ในใจหลายคำเช่นว่า คนประหลาด ไม่มีมนุษยสัมพันธ์และอื่นๆ
ขณะที่อี๋อวี้ลอบค่อนขอดอีกฝ่ายลับหลัง รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกวิ่งไปข้างหน้าดังกุบกับๆ ด้วยเป็นละแวกใกล้เคียงเมืองหลวง พื้นถนนจึงเรียบเสมอกัน นั่งอยู่บนรถม้าก็ไม่รู้สึกสะเทือนโคลงเคลงมากนัก แค่ว่าระหว่างทางน่าเบื่อเหลือแสน อีกทั้งยังมีผู้สูงศักดิ์นั่งวางปึ่งอยู่ด้วย สองแม่ลูกต่างมิได้พูดคุยกันสักเท่าไหร่ ได้แต่แง้มม่านมองดูทิวทัศน์ด้านนอกเป็นครั้งคราวเพื่อจดจำเส้นทางไปด้วย
ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม รอบข้างมีเสียงผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ อี๋อวี้แลลอดรอยแยกม่านหน้าต่างที่หลูซื่อเลิกขึ้นออกไปข้างนอก เห็นรถม้าแล่นอยู่บนถนนที่กว้างมากสายหนึ่ง สองข้างทางเป็นดงไม้ มีคนเดินเท้าเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ริมทาง รถม้าของพวกเขาวิ่งแซงหน้ารถม้าหลายคันที่ไปทางเดียวกัน จากนั้นกำแพงเมืองสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาอยู่ไกลๆ อาเซิงชะลอความเร็วลงทีละน้อยแล่นต่อไปข้างหน้าอีกหลายสิบจั้ง ถึงกำแพงเมืองมหึมาที่มีช่องประตูสามช่องเปิดอ้าอยู่ นางเพิ่งเห็นตัวอักษรใหญ่บนพื้นเขียวคำว่า ‘อันฮว่า’ที่สลักอยู่เหนือประตูเมืองสูงหลายจั้งนั่นได้ชัดถนัดตาไม่ทันไร หลูซื่อก็ปล่อยผ้าม่านลง
ทหารยามตรงสองข้างของประตูเมืองสกัดรถม้าที่เคลื่อนเนิบนาบเข้ามาใกล้ อาเซิงชักสายบังเหียนหยุดฝีเท้าม้า ล้วงป้ายสีแดงเข้มจากอกเสื้อโบกไปมาตรงหน้าพวกเขา ทหารยามทั้งหลายโค้งกายถอยออกไป อี๋อวี้กับมารดาอยู่ในรถม้าหาได้ล่วงรู้เหตุการณ์ข้างนอกไม่ เพียงรับรู้ว่ารถม้าหยุดชะงักครู่เดียวแล้วเริ่มแล่นต่อไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า