ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 15
ปึ้ง! ฝ่ามือของหลูจวิ้นฟาดลงบนพื้นโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้าเต็มแรง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยความโกรธา “ท่านแม่ ไฉน…ไฉนพวกนั้นถึงไร้ความเป็นคนเช่นนี้!”
หลูจื้อก็หน้าตาบูดบึ้ง กำถ้วยชาในมือแน่นโดยไม่พูดจา
เมื่อได้ฟังมารดาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลังพวกเขาจากมา ยังมีที่น้องสาวพูดเสริมขึ้นเสียงค่อยๆ เป็นระยะ พาให้ไฟโทสะลุกโชนขึ้นตรงกลางอกของเด็กหนุ่มทั้งสอง พวกเขาทั้งสงสารที่มารดากับน้องสาวต้องประสบเคราะห์ภัย ทั้งชิงชังความไร้ยางอายของคนเหล่านั้น
ตั้งแต่พวกนางถูกให้ร้ายจนต้องหลบหนี บัดนี้ผ่านมานานสองเดือนแล้ว ตลอดช่วงเวลานี้พวกนางได้อยู่อย่างสงบผ่อนคลาย ส่งผลให้จิตใจที่เต็มไปด้วยความชิงชังและแค้นเคืองในตอนแรกค่อยๆ เยือกเย็นลง ทั้งยังปลงตกไปได้มาก ถ้าพูดว่าไม่ผูกใจเจ็บคงเป็นไปไม่ได้ ส่วนว่าอยากแก้แค้นจนทนรอไม่ไหวนั้น พวกนางแม่ลูกกลับปราศจากความคิดนี้
ใครๆ ล้วนพูดว่าใจคอคับแคบเป็นนิสัยประจำตัวสตรี แต่เมื่อมองจากตัวหลูซื่อกับอี๋อวี้ กลับเห็นได้ไม่ชัดปานนั้น
อี๋อวี้เห็นท่าทางเดือดดาลของพี่ชายสองคน กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าความรู้สึกอยาก ‘แล่เนื้อเถือหนัง’ คนที่เป็นตัวการทำให้พวกนางต้องหนีกระเซอะกระเซิงพวกนั้นเลือนหายไปนานแล้ว เพียงบังเกิดความโกรธเกรี้ยวยามคิดไปถึงเรื่องราวเหล่านั้น
หลูซื่อจับมือบุตรชายพูดปลุกปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพักหนึ่ง รอเมื่อสีหน้าของพวกเขาผ่อนคลายลงถึงกล่าวขึ้น “เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าโมโหให้เสียสุขภาพเลย ตอนนี้ข้ากับเสี่ยวอวี้ปลอดภัยดีมิใช่หรือ กรรมดีกรรมชั่วย่อมสนองตอบผู้กระทำ คนเลวพวกนั้นต้องได้รับผลกรรมสักวันแน่นอน พวกเราไม่จำเป็นต้องวุ่นวายใจให้มากไป จื้อเอ๋อร์ เล่าเรื่องของพวกเจ้าให้แม่ฟังเถอะ เวลานี้แม่ยังงุนงงอยู่เลย”
หลูซื่อไม่อยากให้บุตรชายทั้งสองกลัดกลุ้มเกินไป จึงเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาอย่างรู้จังหวะ
หลูจื้อประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าถึงชิงชังคนกลุ่มนั้นปานใดก็สุดปัญญาจะล้างแค้นให้พวกนางได้ในตอนนี้ เขาทำได้แค่จดจำบัญชีนี้ไว้ในใจแล้วพูดตอบหลูซื่อ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่หลังจากพวกเขามาถึงเมืองฉางอันให้มารดากับน้องสาวฟังอย่างละเอียด
วันนั้นหลูจื้อได้รับป้ายหยกม่วงซึ่งเป็นของประจำตัวของตู้หรูฮุ่ยมาแล้วมิได้รีบร้อนไปพบอีกฝ่าย เขาใช้เวลาหลายวันสืบเรื่องต่างๆ จนผ่านไปเจ็ดวันเต็มถึงถือป้ายหยกม่วงไปเยี่ยมคารวะที่จวนสกุลตู้
ตู้หรูฮุ่ยไม่ถามไถ่ว่าเหตุใดเขาถึงมาล่าช้า วันเดียวกันนั้นก็พาเขาไปดำเนินการเข้าเล่าเรียนในสำนักการศึกษา บันทึกชื่อลงในระเบียนบัณฑิตของสำนักซื่อเหมินเสวีย และยังใช้อภิสิทธิ์จัดการให้พวกเขาได้เข้าพำนักในเรือนพักสำหรับลูกศิษย์ดีเด่นเป็นเลิศในสำนักโดยเฉพาะที่เรือนหลัง เพียงรอคอยวันเริ่มต้นการเรียน
พอหลูจื้อเล่าถึงตอนที่พวกเขาย้ายไปที่เรือนพักศิษย์ หลูซื่ออ้าปากถามอย่างห้ามไม่อยู่ “เหตุใดน้องรองอยู่ในเรือนพักนั่นได้ หากไม่สะดวก ตอนเย็นให้เขาไปกับพวกข้าเถอะ”
หลูจื้อกล่าวยิ้มๆ “ที่นี่มีลูกหลานขุนนางมากมาย คนตระกูลใดบ้างจะไม่พาเด็กรับใช้ติดตามมาเล่าเรียนขอรับ ด้วยเหตุนี้ห้องพักล้วนเป็นห้องส่วนตัว แค่ว่าเขาต้องฝืนใจอยู่ในฐานะเด็กรับใช้เท่านั้น ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง จะอย่างไรท่านกับเสี่ยวอวี้ยังอาศัยชายคาเรือนผู้อื่น พาน้องรองไปด้วยคงไม่สะดวกนัก ให้เขาอยู่กับข้าที่นี่ไปก่อน รอไว้พวกเราซื้อเรือนแล้วค่อยว่ากัน”
หลูซื่อคลายใจลงได้ นางยังซักถามเขาถึงปัญหาเรื่องการกินการอยู่ต่อ เห็นหลูจื้อตบหน้าผากเบาๆ แล้วเอ่ยกับหลูจวิ้นด้านข้าง “น้องรอง เจ้ากลับไปหยิบเงินที่ข้าเก็บเอาไว้มาที”
เขาพยักหน้ารับแล้วไม่รอให้มารดาทัดทาน เลิกม่านประตูห้องขึ้นวิ่งฉิวออกไปปานลมพัด
อี๋อวี้ถามขึ้นอย่างฉงนใจ “เงินอะไรหรือเจ้าคะ”
รอยยิ้มบนหน้าหลูจื้อขยายกว้างขึ้น “ข้าเล่าเรียนอยู่ที่นี่ ยังได้รับเงินสองตำลึงทุกเดือน” เห็นสีหน้าตกตะลึงของหลูซื่อกับอี๋อวี้ เขากล่าวสืบไป “มิใช่แค่เงินทอง อาหารสามมื้อกับขนมน้ำชาล้วนเป็นทางสำนักศึกษาจัดเตรียมให้ ทั้งยังแจกอาภรณ์สามชุดในแต่ฤดู” กล่าวถึงตรงนี้ เขาลุกขึ้นให้พวกนางดูชุดใหม่บนตัว
อี๋อวี้สังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าอาภรณ์ที่หลูจื้อสวมใส่เป็นแบบเดียวกับลูกหลานชนชั้นสูงสามคนนั้น ต่างกันที่ชุดของหลูจื้อเป็นสีขาว บนศีรษะสวมเกี้ยวครอบมวยทำจากผ้าโปร่งสีขาวเหมือนกัน แล้วเสื้อคลุมยาวสีขาวที่สวมบนอยู่ร่างหลูจื้อนี้ ยิ่งขับเน้นรูปหน้าที่หล่อเหลากระจ่างตา และท่วงท่ากิริยาละเมียดละไมของเขาให้โดดเด่นมากขึ้น
มารดากับน้องสาวของเขารู้ใจกันอย่างยิ่ง ต่างไม่ปริปากเล่าเรื่องที่ประสบพบเจอตอนรอคอยอยู่นอกประตู หลังนั่งดื่มน้ำชากับขนมไปอีกครู่หนึ่ง หลูจวิ้นที่วิ่งไปเอาเงินก็กลับมาแล้ว
หลูซื่อรับห่อผ้าเล็กๆ สีขาวที่เขายื่นมาให้บนมือตนเองไว้ รู้สึกได้ว่ามันค่อนข้างหนัก นางเปิดห่อออกแล้วกะประมาณน้ำหนักของก้อนเงินหลายก้อนนั่น มีมากถึงสิบกว่าตำลึง นางไม่ทันได้เอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ ก็ได้ยินหลูจวิ้นโพล่งขึ้น “ท่านแม่ พี่ใหญ่ประหยัดน่าดู เงินที่ท่านให้พวกข้าตอนจากเรือนมาใช้ไปแค่ครึ่งเดียว รวมกับเงินตำลึงที่พี่ใหญ่รับมาเมื่อสองสามวันก่อน ในนี้มีสิบหกตำลึงถ้วนๆ เลยนะขอรับ”
หลูซื่อรีบพูด “พวกเจ้ากระเบียดกระเสียรขนาดนี้ด้วยเหตุใดกัน แม่พอมีเงินทองอยู่ พวกเจ้าเก็บก้อนนี้ไว้ใช้เถอะ” ว่าแล้วก็ห่อก้อนเงินพวกนั้นไว้ดังเก่า