หลูจื้อได้ยินวาจานี้ก็ตบหัวหลูจวิ้นทีหนึ่ง เอ็ดใส่เขายิ้มๆ “ประหยัดที่ใดกัน ข้าเคยให้เจ้าต้องอดอยากเมื่อไรรึ” เขาหันไปทางหลูซื่อ “ท่านแม่อย่าฟังเขาพูดเหลวไหล พวกเราสองคนอยู่ที่นี่ไม่ต้องใช้สอยเงินทองอะไร ข้าขอไว้สองตำลึงก็พอขอรับ ท่านแม่เก็บเงินก้อนนี้ไว้ให้ดีๆ ซื้อของให้พี่เซียงเซียงบ้าง ข้าอยากขอบคุณนางมากจริงๆ อีกอย่างข้าเห็นเสื้อของเสี่ยวอวี้สั้นหมดแล้ว ชุดบนตัวท่านแม่ก็เป็นของเมื่อหลายปีก่อน กลับไปซื้อผ้าเนื้อดีๆ เย็บอาภรณ์สองสามชุดยังดีกว่าให้ข้าเก็บเอาไว้เฉยๆ นะขอรับ”
หลูซื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้วอึ้งงันไปในทีแรก จากนั้นเอี้ยวกายไปคว้าแขนของอี๋อวี้ที่ชักกลับไม่ทันไว้อย่างว่องไว พบว่าปลายแขนเสื้อของชุดที่นางสวมอยู่บนตัวสั้นไปราวสองชุ่นจริงๆ แม้จะซักสะอาดสะอ้านแต่จุดที่ถูกเสียดสีจากการคัดลายมือทุกวันเป็นสีซีดจางจนสะดุดตา
หลูซื่อเงยหน้ามองดวงหน้าเล็กๆ ที่น่ารักของบุตรสาว สะกดความแปลบปลาบใจไว้ กล่าวเสียงนุ่ม “พักนี้งานยุ่งจนไม่ได้เอาใจใส่เจ้าเลย ครั้งก่อนตอนเย็บอาภรณ์ให้พี่เซียงเซียง เหตุใดเจ้าไม่บอกแม่ว่าชุดของเจ้าสั้นไปแล้ว”
อี๋อวี้กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ถึงทุกปีจะตัดเย็บอาภรณ์ไม่มาก แต่ตอนอยู่ที่หมู่บ้านเค่าซาน ทุกคราที่นางตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าหลูซื่อไม่แก้ให้ใหญ่ขึ้นก็จะเย็บตัวใหม่ ไม่เคยปล่อยให้นางสวมเสื้อผ้าสั้นเต่อ นับแต่ปีก่อนหลูจื้อเข้าร่วมการสอบรับราชการต้องรวบรวมเงิน เป็นเหตุให้อี๋อวี้สวมเสื้อผ้าชุดเก่า มาบัดนี้พอได้พิศดูดีๆ ถึงกับสั้นไปมากขนาดนี้
อี๋อวี้เห็นหน้ามารดาก็รู้ว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้นางต้องปวดใจ กระแสอบอุ่นระลอกหนึ่งเอ่อท้นขึ้นกลางอกในชั่วพริบตา นางมองหลูจื้อที่กำลังทำหน้าเป็นเชิง ‘ข้าพูดผิดไปแล้ว’ แวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับหลูซื่อ “ยังเป็นพี่ใหญ่ที่ตาไวเช่นเคย ตัวข้าเองยังไม่ทันสังเกตเห็นเลย สงสัยคงจะตัวสูงขึ้นตอนมาถึงตำบลหลงเฉวียนกระมังเจ้าคะ”
เห็นขอบตาของหลูซื่อยังแดงเรื่อๆ นางรีบกอดแขนมารดาพูดออดอ้อน “ในเมื่อท่านแม่สงสารข้า กลับไปแล้วเย็บกระโปรงสวยๆ ให้ข้าก็สิ้นเรื่อง เงินที่พี่ใหญ่ให้มา ท่านเก็บไว้เถอะ ข้าว่าพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่มาหนึ่งเดือน กินจนอ้วนท้วนแล้ว”
หลูจื้อสบช่องผสมโรง “ใช่แล้วท่านแม่ อาหารการกินในสำนักศึกษาไม่เลวเลย มีผักมีเนื้อ ซ้ำส่วนใหญ่ผัดด้วยน้ำมัน จริงสิ ได้ยินพี่จี้บอกว่าแถวนี้มีร้านอาหารแห่งหนึ่งรสชาติไม่เลว ราคาก็ถูก ตอนนี้เที่ยงวันแล้ว พวกเราไปกินให้อิ่มท้องแล้วค่อยคุยกันต่อ ดีไหมขอรับ”
เมื่อเห็นสามพี่น้องต่างทำสีหน้า ‘หิวสุดจะทานทน’ หลูซื่อตอบตกลงด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
ระหว่างที่ชาวสกุลหลูทั้งสี่กินอาหารและพูดคุยยิ้มหัวกันอยู่นั้น ณ มุมเปลี่ยวร้างของเมืองฉางอัน ภายในเรือนอาคารงดงามวิจิตรหลังหนึ่งกลางคฤหาสน์ส่วนตัวอันเงียบสงบ อาเซิงกำลังเฝ้าอยู่นอกประตูห้องห้องหนึ่งบนชั้นสอง รอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย
“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำจากอีกด้านหนึ่งของประตูดังมากระทบหู เขาผลักบานประตูไม้สลักลายเบื้องหน้าออกเบาๆ ย่างเท้าเข้าห้องแล้วหมุนกายปิดประตูตามเดิม ถึงเดินค้อมกายเข้าไป
ด้านในห้องนอนที่ตกแต่งประดับประดาอย่างประณีตหรูหรา คุณชายฉางในชุดแพรสีฟ้าน้ำทะเลนั่งเอนหลังบนตั่งนวมโครงไม้แดงตัวหนึ่งข้างหน้าต่างติดม่านผ้าโปร่งบางสีเขียว เรือนผมดำสนิทปล่อยสยายลง มีเส้นผมสองสามปอยคลอเคลียข้างแก้ม ดวงตาทั้งคู่หรี่ปรือน้อยๆ คล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นส่องประกายสีเขียวมรกตเรืองๆ ออกมาเป็นครั้งคราว
ถ้าอี๋อวี้มองเห็นท่วงท่าเอื่อยเฉื่อยตามสบายของท่านผู้มีพระคุณในขณะนี้ ต้องร้องโวยวายเป็นแน่ว่าถูกหลอกลวงตบตา และสงสัยว่าคนผู้นี้กับคนประหลาดไร้มนุษยสัมพันธ์ซึ่งนั่งตัวตรงสง่าเป็นนิจที่ตนเองเคยเห็นนั้นเป็นคนคนเดียวกันหรือไม่
“ทางนั้นยังไม่ยอมเปิดปากหรือ”
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ พวกเขาไม่ยอมบอกขอรับ” อาเซิงก้มหน้ากล่าวคำนี้จบ ในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ จวบจนมีเสียงรายงานดังจากนอกประตูอีก เสียงพูดที่ยังเจือเค้าความเยาว์วัยของเด็กหนุ่มถึงดังขึ้นแผ่วๆ
“ฆ่าให้หมด” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “เหลือศพให้ครบร่าง ถึงอย่างไรก็เป็น…” คุณชายฉางมิได้กล่าวถ้อยคำที่เหลือออกจากปาก เขายกฝ่ามือเนียนกระจ่างข้างหนึ่งขึ้นโบกเบาๆ อาเซิงก็หันหลังออกจากห้องไป
อีกคนหนึ่งเดินค้อมกายเข้ามาต่อจากอาเซิงด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เขาหยุดอยู่ตรงจุดที่ห่างจากหน้าตั่งนวมสามก้าว สองมือประคองถุงผ้าปักไหมเงินใบหนึ่งยื่นให้ หลังจากคุณชายฉางหยิบไป จึงถอยออกไปอย่างว่องไว
คุณชายฉางใช้ปลายนิ้วหยิบใบไม้สีเขียวสดใบหนึ่งออกมาจากในนั้น เพียงดมทีหนึ่งก็ถอนใจเบาๆ พึมพำกับตนเอง “ทั้งๆ ที่เป็นของอย่างเดียวกันกลับใช้ไม่ได้ผล ไฉนต้อง…”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาโยนถุงผ้าปักไหมเงินใบนั้นทิ้งลงบนพื้น ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหลวมกว้างควานหาใบไม้สีเขียวบอบบางเล็กเท่าปลายก้อยใบหนึ่งออกมาจ่อไว้ใต้จมูก ดวงตาปรือปิดลงช้าๆ พร้อมเสียงกระซิบดังลอดจากเรียวปากบางนุ่ม
“ต้องกลิ่นนี้ถึงจะใช่…”
โปรดติดตามตอนต่อไป…