ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 16
พริบตาเดียวก็เข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ร่วง พืชผลในไร่นาของสกุลหลูเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว วันหนึ่งของปลายเดือนสิบ พ่อบ้านหลี่มาแจ้งให้รู้ด้วยตนเองว่าตั้งแต่นี้ไปพวกนางไม่ต้องช่วยปลูกต้นปั้วเหออีก หลูซื่อเพียงนึกว่าพวกเขาย้ายปลูกได้เป็นผลสำเร็จ ทว่าอี๋อวี้แอบคาดเดาว่าคนผู้นั้นน่าจะไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้อีกต่อไปต่างหาก
เมื่อรู้ข่าวนี้ หลูซื่อนับเงินที่มีอยู่ในเรือนรอบหนึ่ง รวมกับเงินที่ได้รับจากหลูจื้อตอนไปหาเขาคราวที่แล้วก้อนนั้น แม้ว่ายังไม่มากพอจะซื้อเรือน แต่เช่าเรือนเล็กๆ สักหลังอยู่ได้แล้ว
ดังนั้นก่อนสิ้นปี หลูซื่อก็เสาะหาเรือนพำนักได้ นางจ่ายค่าเช่าครึ่งปี จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วถึงไปกล่าวล่ำลาพ่อบ้านหลี่ เขาได้ข่าวว่านางต้องการย้ายออกไปแต่แรก พอได้พบนางก็ไม่เหนี่ยวรั้งไว้ อีกทั้งช่วยหาฤกษ์ดีและมอบหมายบ่าวในเรือนสองคนมาช่วยพวกนางย้ายเรือน ทั้งเขายังส่งข้าวของเครื่องใช้ประจำวันไปให้อีกด้วย หลูซื่อมิได้ปฏิเสธเพราะไม่ใช่ของสูงค่าอะไร
ที่พำนักใหม่ของพวกนางอยู่ในตรอกสายหนึ่งทางทิศใต้ของตำบลเป็นเรือนหลังเล็กคั่นเดียว ที่ไม่กว้างขวางนัก แบ่งเป็นห้องสองห้องติดกัน และมีห้องครัวเล็กๆ อยู่ทางซ้าย สี่ทิศล้อมรอบด้วยเรือนอาศัยของชาวบ้าน เจ้าของเรือนเป็นผู้มีเงินมีทองอยู่บ้างในละแวกนี้ แม้สภาพทั่วไปของเรือนหลังใหม่ไม่อาจเทียบกับเรือนโยวย่วนที่สามแม่ลูกเคยพักอยู่เดิม แต่อย่างไรก็มีเรือนที่อยู่เป็นสัดเป็นส่วนของตนเอง หลุดพ้นจากชีวิตที่ต้องอาศัยชายคาเรือนผู้อื่น จะพูดจะทำอะไรได้ตามสบายขึ้นไม่น้อย
สิ่งที่น่าเอ่ยถึงคือต้นซานจากับผลไม้อื่นๆ บนผืนดินตรงเชิงเขา เมื่อได้รับ ‘ความใส่ใจเลี้ยงดูเป็นพิเศษ’ อยู่ลับๆ จากอี๋อวี้ พวกมันมีวี่แววว่าจะเจริญงอกงามได้ดีอย่างยิ่งยวด เผอิญว่าคนงานที่หลูซื่อจ้างมาเฝ้าดูแลเป็นชาวนาเจ้าของเดิมซึ่งขายไร่ผืนนั้นให้ ครั้นได้เห็นต้นอ่อนบนพื้นดินแล้ว ถ้าบอกว่าไม่อิจฉาริษยาคงเป็นไปไม่ได้ ตอนใกล้ขึ้นปีใหม่ พวกเขายกข้ออ้างอื่นมาก่อความวุ่นวายที่เรือนสกุลหลู หลูซื่อก็ไม่ไว้หน้า เลิกจ้างพวกเขาประเดี๋ยวนั้น มอบเงินตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกให้ และไล่พวกเขากลับไป ตอนแรกพวกนางคิดว่าพวกเขายังจะกลับมาหาเรื่องอีกหลายครั้ง ทว่าจวบจนปลายปีล้วนไม่เห็นพวกเขามาที่เรือนอีกเลย
พอถึงวันสิ้นปี พ่อบ้านหลี่นำของประจำเทศกาลวันปีใหม่ไม่น้อยติดไม้ติดมือมาหาที่เรือนครั้งหนึ่ง หลูซื่อเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์ เดิมคิดจะบอกปัด เขาก็เอ่ยอ้างว่าของเหล่านั้นล้วนได้มาจากเรือกสวนไร่นาของตน ไม่ได้ใช้เงินซื้อหามา ทั้งบอกอย่างชัดเจนว่าคุณชายฉางกำชับไว้เอง หลูซื่อถึงกล่าวขอบคุณแล้วรับไว้
ก่อนปีใหม่ หลูจื้อกับหลูจวิ้นได้หยุดพักกลับมาที่เรือนในตำบลหลงเฉวียน ร่วมฉลองวันปีใหม่กับมารดาและพี่สาวน้องสาวอย่างสำราญบานใจเป็นครั้งแรกหลังจากมาถึงที่นี่ จนกระทั่งเทศกาลซั่งหยวน ผ่านไป หลูจื้อถึงกลับไปยังเมืองฉางอันตามลำพัง
เมื่อเสียงไก่ขันดังสองสามครั้ง ดวงตะวันลอยเนิบนาบโผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ตำบลหลงเฉวียนค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหลต้อนรับอรุณรุ่งวันใหม่ หมอกยามเช้าสีขาวนวลดุจน้ำนมยังไม่สลายหายไปสิ้น หากในตรอกสายหนึ่งทางทิศตะวันตกของตำบล เริ่มมีเสียงพูดคุยแผ่วเบาดังขึ้นเรื่อยๆ
“พี่สะใภ้ใหญ่ รอสายอีกหน่อยพวกเราค่อยไปกันเถอะ พวกนางน่าจะยังไม่ตื่นนอนนะ” สตรีวัยยี่สิบเศษแต่งกายแบบหญิงชาวนานางหนึ่งดึงร่างที่เดินนำหน้าไว้เบาๆ
พอถูกอีกฝ่ายรั้งไว้เช่นนี้ คนผู้นั้นค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงหันศีรษะมา ถึงเห็นว่านางมีดวงหน้ารูปไข่แฝงเค้าฉลาดหัวไว “เช้าอะไรกัน เมื่อคืนพอได้ข่าวข้าก็บอกว่าจะมาเลย เจ้ากลับพูดท้วงว่าดึกแล้ว ตอนนี้พวกเราตื่นแต่เช้า เจ้าก็กลัวอีกว่าจะรบกวนคนอื่น”
“แต่ว่า…แต่ว่าพวกเราจะไปขอความช่วยเหลือนะ อีกอย่างรบกวนการพักผ่อนของคนอื่นจะอย่างไรก็ไม่ดีนัก…ช่างเถิด ฟังคำข้าดีกว่า พวกเรากลับไปกันก่อน” หญิงสาวซึ่งออกเรือนแล้วคนนั้นดึงตัวพี่สะใภ้ของตนย้อนกลับไปทางเดิม
“ใครบอกว่าจะไปขอร้องพวกนาง ดีชั่วพวกเราช่วยทำงานให้ตั้งครึ่งค่อนปี จู่ๆ นึกจะหยุดส่งผลเล็บแดงให้พวกเราก็หยุดส่งไปเลย แล้วนี่จะให้พวกเราทำมาหากินอย่างไร” สตรีท่าทางฉลาดหัวไวผู้นั้นยิ่งพูดยิ่งหน้าตาบูดบึ้ง นางพลิกมือจับแขนหญิงสาว “ไปกัน ถึงไม่ขายแล้ว ข้าก็ไม่ยอมเสียเปรียบให้พวกนางหรอก พอไม่มีผลเล็บแดง พวกเราไม่อาจทำปิงถังหูลู่นั่นได้ พวกนางมั่งมีอยู่แต่เดิม ตอนนี้ยังได้ทรัพย์ก้อนใหญ่ขนาดนั้นไป ดีชั่วก็ต้องแบ่งมาก้อนหนึ่งชดเชยที่เลิกจ้างพวกเรา”
หญิงสาวนางนั้นไม่มีเรี่ยวแรงมากเท่าพี่สะใภ้ตน ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายฉุดตัวเดินไปตลอดทาง พอทะลุผ่านถนนหลักของตำบลเข้าสู่ทางแยกข้างหน้า เลี้ยวเข้าไปในตรอกกว้างขวางสายหนึ่งทางทิศใต้ พวกนางเดินต่อไปอีกหลายก้าว และหยุดอยู่หน้าประตูสองบานที่ติดแผ่นกลอนคู่เป็นตัวอักษรดำบนพื้นแดง
เวลานี้สตรีท่าทางฉลาดหัวไวถึงปล่อยแขนของหญิงสาวแล้วก้าวขึ้นบันได นางสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะออกแรงตบประตูไม้สีดำตรงหน้า ปากก็ร้องตะโกนขึ้น “เปิดประตูๆ เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
นางตะโกนอยู่อย่างนี้สี่ห้ารอบ จึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนแว่วๆ ฝ่ามือของนางยังไม่ทันได้ตบลงไปอีก ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
เด็กสาวหน้ากลมท่าทางเหมือนสาวใช้คนหนึ่งอ้าปากหาวไปพลาง ไต่ถามผู้มาเยือนไปพลาง “มีอะไรรึ ถึงมาทำเสียงดังรบกวนผู้อื่นแต่เช้าตรู่ปานนี้”
“ข้าจะหาหลูเอ้อร์เหนียง เจ้าไปเรียกนางออกมาให้ข้าที”
สาวใช้คนนั้นพิศดูผู้กล่าววาจาเบื้องหน้าซ้ำๆ จากนั้นขมวดคิ้วพร้อมพูด “ฮูหยินของพวกข้ายังนอนหลับอยู่ อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยมาเถอะ” ว่าแล้วก็จะปิดประตู กลับถูกสตรีผู้นั้นชิงเบี่ยงกายผ่านเข้าประตูไปก่อน หญิงสาวด้านหลังนางแข็งใจเบียดตามเข้าไปด้วย
“นี่ นี่…นี่พวกเจ้าจะทำอะไรกันนะ รีบออกไปนะ!” สาวใช้ตัวน้อยหายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง ลุกลนเข้าไปฉุดลากสตรีข้างหน้าที่ถือวิสาสะเข้ามาเอง
ทว่านางเพิ่งมีอายุสิบสามสิบสี่ ไหนเลยจะสู้เรี่ยวแรงสตรีเต็มตัวนางหนึ่งได้ อึดใจเดียวก็ถูกเหวี่ยงล้มลงไปกับพื้น ขณะที่จะตะกายลุกขึ้นไปขัดขวางต่อ พลันได้ยินเสียงเรียกกังวานใสเสนาะหู
“เสี่ยวหม่าน?”
ทั้งสามคนหันหน้าไปพร้อมกัน เห็นมือเล็กๆ ขาวเนียนนุ่มข้างหนึ่งแหวกม่านประตูห้องใหญ่ฝั่งตรงข้ามออก ดรุณีน้อยร่างแบบบางนางหนึ่งก้าวออกมาจากข้างใน นางสวมเสื้อตัวในสีขาว คลุมเสื้อตัวยาวสีชมพูอมน้ำตาลทับไว้ด้านนอก ใบหน้าขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะ ผมยาวดำขลับทิ้งตัวสยายเคลียไหล่ ยิ่งขับเน้นดวงหน้าเล็กๆ นั่นให้บอบบางน่ารักสุดจะเปรียบ นางยกมือซ้ายปิดปากหาวเบาๆ ดวงตาเฉกมณีหยดน้ำหรี่ลงครึ่งหนึ่ง กำลังมองกวาดพวกนางไปทีละคนอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู” สาวใช้นามว่า ‘เสี่ยวหม่าน’ ร้องเรียกเสียงดัง นางวิ่งไปที่ข้างกายดรุณีน้อยงามจิ้มลิ้มดูท่าทางมีอายุราวสิบสองสิบสามผู้นี้แล้ว หมุนกายชี้ไปที่สตรีสองคนตรงหน้าประตู กล่าวอย่างขุ่นเคือง “คุณหนู สองคนนี้มาเคาะประตูแต่เช้า บอกว่าต้องการพบฮูหยิน ข้าบอกว่าฮูหยินยังไม่ตื่น พวกนางก็บุกเข้ามาเลยเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้นวดขมับที่ชาหนึบๆ ถูกคนปลุกให้ตื่นจากฝันดีแต่รุ่งสางมิใช่เรื่องน่าอภิรมย์อะไร เมื่อคืนนางคำนวณบัญชีเงินก้อนใหญ่จนดึกดื่นถึงเข้านอน ยังหลับไม่เต็มอิ่มก็ต้องตื่นขึ้น จะให้ข่มอารมณ์ในขณะนี้ หาใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น
“นี่พวกเจ้าจะชิงทรัพย์หรือว่าปล้นเรือน กระทั่งอาวุธติดไม้ติดมือก็ไม่มี ดูไม่เข้าท่าเข้าทางเสียเลย เสี่ยวหม่าน ไปห้องครัวหยิบมีดหั่นผักมาให้พวกนางใช้สิ” อี๋อวี้มองปราดเดียวก็จำหน้าพี่สะใภ้กับน้องสาวสามีที่ ‘บุกรุกเรือนชาวบ้าน’ คู่นี้ได้ เดิมทีความรู้สึกที่มีต่อพวกนางก็ไม่ดีอยู่แล้ว ส่งผลให้นางไม่ถามไถ่เหตุผลที่มาเยือน ทั้งพูดจาอย่างปราศจากความเกรงใจใดๆ