ปีแรกที่สกุลหลูย้ายมาที่ตำบลหลงเฉวียน ยังไม่ถึงปีที่สองไร่ต้นซานจาผืนนั้นก็ออกผล ตอนเริ่มต้นมีแต่พวกนางสามแม่ลูกทำปิงถังหูลู่ขาย ผู้ใดจะรู้ว่ากลับขายดิบขายดีจนน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยพวกนางมีกันแค่สามคน ทำได้เพียงวันละห้าหกสิบแท่ง และใช้ลาเทียมรถลากไปขายที่เมืองฉางอัน ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มีคนแย่งกันซื้อจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง ราคาเริ่มจากไม้ละยี่สิบอีแปะจนสองเดือนให้หลังเพิ่มเป็นสิบไม้หนึ่งตำลึง สูงขึ้นถึงห้าเท่าเต็มๆ ซ้ำยังมีของไม่พอขาย
อี๋อวี้เห็นสภาพการณ์เป็นเช่นนี้จึงตั้งใจขยับขยายการค้า หลังจากหารือกับมารดา นางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวขุดผลไม้ในไร่ทิ้งไปบางส่วนแล้วเปลี่ยนเป็นปลูกต้นซานจา ยังว่าจ้างหญิงชาวนาจากหลายครอบครัวในหมู่บ้านที่มีฐานะไม่ค่อยดีและอยู่ว่างๆ กับเรือน มาทำปิงถังหูลู่ในเรือนหลังน้อยของสกุลหลูตอนบ่ายทุกวัน วันถัดมาก็พาพวกนางไปที่เมืองฉางอันแยกย้ายกันไปขายตามที่ต่างๆ และชักกำไรแบ่งให้พวกนางไม้ละสิบอีแปะ
เนื่องจากสกุลหลูเฝ้าดูแลไร่ซานจาไว้อย่างใกล้ชิด แม้หญิงชาวบ้านเหล่านั้นจะลอบคิดไม่ซื่อ กลับไม่อาจสร้างปัญหาอะไรได้ ต่อมาพวกหลูซื่อควบคุมขั้นเตรียมวัตถุดิบอย่างเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการขายอีก เป็นเช่นนี้มาครึ่งปี ไม่เพียงซื้อเรือนคั่นสองหลังหนึ่ง ยังมีเงินเก็บหอมรอมริบอีกไม่น้อย
แต่แล้วเมื่อหนึ่งเดือนก่อนนี่เอง มีคนผู้หนึ่งมาหาพวกนาง เขาเป็นเถ้าแก่ของร้านผลไม้แห้งรายใหญ่ชื่อว่าต้าซิงในตลาดตะวันตก หนึ่งในสองตลาดใหญ่ของเมืองฉางอัน หลังจากต่อรองหารือกันหลายครั้งหลายครา ก็ทำหนังสือสัญญาให้เขาเป็นคนกลางรับซื้อผลซานจาทั้งหมดเพียงเจ้าเดียวด้วยราคาห้าพันตำลึง โดยจ่ายเงินให้พวกนางตามผลเก็บเกี่ยวซานจาในแต่ละฤดู
ด้วยเหตุนี้หลูซื่อหยุดจัดส่งผลซานจาให้พวกหญิงชาวนาที่ทำถังหูลู่ไปเร่ขาย และมอบเงินให้พวกนางคนละสิบตำลึงเป็นการชดเชยบำรุงขวัญ
สตรีสองคนตรงหน้าอี๋อวี้นี้ล้วนเป็นคนงานหญิงชุดที่สองซึ่งพวกนางว่าจ้างมาทีหลัง คนที่ท่าทางหัวอ่อนนามว่า ‘เฉียวซื่อ’ ยังไม่เท่าไร ส่วนหญิงวัยกลางคนหน้าตาฉลาดหัวไวกว่าที่ใครๆ เรียกกันว่า ‘ซานกู’ คนนั้น เคยลักขโมยซานจาในไร่ของพวกนาง ต่อมาถูกคนเฝ้าไร่จับได้เอาตัวมาให้หลูซื่อ นางเพียงพูดสั่งสอนอีกฝ่ายยกหนึ่ง
ครั้นคำสั่งเจือน้ำเสียงถากถางชัดแจ้งของอี๋อวี้ดังขึ้น เสี่ยวหม่านสาวใช้เพียงนิ่งอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนขานรับเสียงดังแล้ววิ่งไปที่ห้องครัวทางลานเรือนหลัง ขณะที่พี่สะใภ้กับน้องสามีคู่นั้นยังงงงันอยู่ เด็กสาวประคองมีดหั่นผักหนักอึ้งเล่มหนึ่งไว้ด้วยสองมือวิ่งออกมา
อี๋อวี้ชูนิ้วมือขาวเนียนขึ้นนิ้วหนึ่ง ชี้ๆ ไปทางสตรีคู่นั้น “ส่งให้พวกนาง”
เสี่ยวหม่านสาวเท้าเข้าไปอย่างเชื่อฟัง ยื่นมีดหั่นผักที่มีใบมีดยาวถึงห้าหกชุ่นไปตรงหน้าซานกู นางฉีกปากยิ้มเยาะๆ แล้วกล่าว “เอาไปสิ คุณหนูของข้าให้เจ้าถือไว้”
เวลานี้ซานกูถึงคิดตามทันว่าอี๋อวี้เย้าแหย่ตน นางเบี่ยงกายหลบเสี่ยวหม่าน แค่นเสียงเยาะใส่เด็กสาวก่อนเอ่ยขึ้น “นางเด็กปากกล้า นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
อี๋อวี้ทัดผมที่รุ่ยร่ายไปไว้หลังหู อ้าปากพูดเรียบๆ “ข้ามิใช่หาหลักฐานไว้ให้ท่านชิ้นหนึ่งหรอกหรือ รอประเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาถึง ก็จับกุมท่านข้อหาโจรปล้นชิงได้พอดี…” กล่าวถึงตรงนี้ นางก้มหน้าปิดปากหัวร่อเบาๆ
ครานี้สีหน้าของสตรีสองนางแปรเปลี่ยนไปตามๆ กัน ทว่าคนหนึ่งหวาดกลัว คนหนึ่งโมโหโทโส ซานกูกัดฟันกรอดๆ มองอี๋อวี้ที่มีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า นางสูดลมหายใจลึกๆ ทำหน้านิ่วเหยเก จากนั้นล้มลงนั่งแปะกับพื้น สองมือทุบต้นขาตนเองไปพลาง ตะโกนร้องไห้ฟูมฟายไปพลาง
“นี่มันข่มเหงกันชัดๆ สกุลหลูรังแกคน จะบีบคั้นให้คนที่อาศัยหยาดเหงื่อแรงกายหาเลี้ยงชีพอย่างพวกข้าต้องตาย นึกจะเลิกก็เลิก ตนเองได้เงินไปหลายพันตำลึงแล้วไม่สนใจว่าคนอย่างพวกข้าจะเป็นหรือตาย! พวกข้าก้มหน้าก้มตาทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างเหนื่อยยากลำบากมากับพวกเจ้าเนิ่นนานปานนั้น ตอนนี้พอพวกเจ้าพบทางสบายแล้ว ก็จะตัดทางรอดของพวกข้า ฮือๆ…”
ขณะมองดูนางตีอกชกหัวอยู่บนพื้น สีหน้าของอี๋อวี้เปลี่ยนไปเป็นแปลกใจในพริบตา ไม่ถึงชั่วครู่ ด้านนอกประตูเรือนสกุลหลูก็มีคนล้อมวงมุงดูเต็มไปหมด