ตอนที่อี๋อวี้ออกมา ซานกูยังอาละวาดอยู่ตรงลานกว้าง มีหญิงซึ่งออกเรือนแล้วสองคนกล่าวปลอบอยู่ด้านข้าง นางพูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น พอชายตาเห็นอี๋อวี้ก็ส่งเสียงร้องไห้โหยหวนดังขึ้นอีกครา
สตรีสองคนด้านข้างซานกูเห็นนางออกมา พากันถอนใจเฮือกแล้วถอยไปยืนด้านข้าง อี๋อวี้ส่งยิ้มให้พวกนาง จากนั้นเดินไปตรงหน้าซานกู เอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ซานกู นี่ท่านจะทำอะไรหรือ”
สุ้มเสียงของนางไม่ดังนัก แต่เป็นสำเนียงเมืองหลวงที่ถูกต้องชัดเจน นับแต่เริ่มขายปิงถังหูลู่ในเมืองฉางอันเมื่อหนึ่งปีก่อน พวกนางก็เปลี่ยนสำเนียงพูดกันทั้งครอบครัว หลูซื่อเดิมพูดสำเนียงเมืองหลวงได้อยู่แล้ว ส่วนอี๋อวี้แสร้งทำทีฝึกอยู่ครึ่งเดือนกว่าถึงเปลี่ยนสำเนียงได้
ซานกูได้ยินคำถามของนาง ก็เบาเสียงสะอื้นลงบ้าง พูดขาดเป็นห้วงๆ “ข้า…ข้าคิดจะทำอะไรที่ไหนกัน พวกเจ้าปิดบังทุกคนลอบรับเงินไว้เอง…แล้วก็…แล้วก็ตัดทางทำมากินของพวกข้า ไม่ให้พวกข้าขายแล้ว…เอาเป็นว่าพวกเจ้าแล้งน้ำใจ…”
ชาวตำบลส่วนใหญ่ต่างล่วงรู้ว่าปีนี้สกุลหลูเริ่มมีเงินมีทองขึ้นจากการทำการค้า แต่พอซานกูโวยวายขึ้นในวันนี้ถึงรู้ว่าเป็นเพราะได้รับเงินมาหลายพันตำลึง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในบรรดานั้นมีกี่คนที่ได้ประโยชน์จากการขายปิงถังหูลู่ คนที่ไม่แจ่มแจ้งที่มาที่ไปก็มีอยู่ถมเถ ส่งผลให้มีคนไม่น้อยพากันยืนอยู่ข้างซานกู ส่วนเสียงกระซิบกระซาบของคนที่มุงดูยิ่งดังมากขึ้นไปอีก
“การค้าดีๆ นางนึกจะไม่ให้คนอื่นทำก็ไม่ให้ทำ จะวางอำนาจเกินไปกระมัง”
“เจ้าคงไม่รู้ว่าผลเล็บแดงที่ใช้ทำปิงถังหูลู่นั่นมีเพียงเรือนนางเท่านั้นที่มี ไร่ผืนนั้นยังให้คนเฝ้ายามอย่างแน่นหนา กระทั่งนกสักตัวก็บินเข้าไปไม่ได้ ตอนนี้พวกนางไม่ส่งผลเล็บแดงให้ คนอื่นย่อมขายไม่ได้เป็นธรรมดา”
อี๋อวี้เลิกคิ้วขึ้น กวาดตามองชาวบ้านในตำบลที่พึมพำเสียงเบาๆ รอบหนึ่งแล้วตรึงสายตาอยู่ที่ร่างซานกู ความตั้งใจเดิมของนางคือเรียกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนมาลากตัวอีกฝ่ายออกไปทันที แต่ขณะนี้ดูไปแล้วคงต้องพูดกันให้รู้ดำรู้แดง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางทำหน้าลำบากใจหลายส่วนยามถามขึ้น “เช่นนั้นท่านว่ามาสิ สกุลหลูต้องทำเช่นไร ท่านถึงไม่ก่อความวุ่นวาย”
ดีชั่วซานกูก็คลุกคลีกับชาวสกุลหลูมาเป็นเวลาไม่น้อย รู้ว่าอี๋อวี้สามารถตัดสินใจได้ ทั้งเห็นใบหน้านางเผยรอยลำบากใจออกมา นึกไปว่านางกลัวตนเองจะก่อกวนต่อไป ซานกูกลอกตาทีหนึ่งแล้วยกแขนเสื้อเช็ดหน้า ตะกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างว่องไว พูดด้วยความมั่นใจเต็มอก “เว้นเสียแต่พวกเจ้าแบ่งเงินก้อนนั้นให้ พวกข้าเคยช่วยครอบครัวพวกเจ้าขายของมาก่อน อย่างน้อยต้องคนละหนึ่งร้อยตำลึง”
ซานกูไม่ใช่คนโง่เขลา นางมิได้คิดแต่จะขอปันเงินให้ตนเอง ยังรู้จักดึงคนอื่นๆ มาร่วมด้วย หนึ่งคนหนึ่งร้อยตำลึง คนที่เคยทำงานให้สกุลหลูทั้งตอนแรกและตอนหลังรวมกันมีทั้งสิ้นยี่สิบกว่าคน เป็นการรีดไถเงินห้าพันตำลึงที่สกุลหลูเพิ่งได้มาไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
“ถ้าข้าไม่ให้ล่ะ” น้ำเสียงของอี๋อวี้แฝงรอยหยั่งเชิง
“ไม่ให้? ไม่ให้ข้าก็จะมาโวยวายที่หน้าประตูเรือนเจ้าทุกวัน บอกกับทุกคนว่าพวกเจ้าใจไม้ไส้ระกำอย่างไร ให้คนทั้งตำบลรู้กันหมดว่าสกุลหลูของพวกเจ้าปิดบังหลอกลวงคนยากคนจนอย่างพวกข้าอย่างไร” ซานกูเบะปาก ทำท่าจะนั่งลงกับพื้นอีก อี๋อวี้ไม่ห้ามนาง เพียงมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากนั้นแค่นหัวเราะอย่างดูแคลน ไม่หลงเหลือท่าทางสุภาพอ่อนน้อมเมื่อครู่นี้ให้เห็น
“ท่านก็ช่างไม่ถือสาว่าพูดจาส่งเดช ฟันจะร่วงหมดปากรึ คนยากคนจนอะไร…ข้าขอถามท่านสักนิด ตุ้มหูทองที่เสียบบนติ่งหูท่านชุบสีหรือไร แล้วกำไลเงินที่สวมอยู่บนข้อมือนั่นหล่อจากขี้ผึ้งหรือไร”
ถ้อยคำนี้ของอี๋อวี้ดังขึ้น คนด้านข้างพากันมองไปที่ตัวซานกู เห็นตุ้มหูทองใหญ่เท่าเมล็ดถั่วลิสงเสียบอยู่บนติ่งหูของนาง และกำไลเงินส่องประกายวาววับวงหนึ่งสวมอยู่บนข้อมือที่ยันพื้นอยู่จริงๆ