ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 16
ซานกูรับรู้ได้ว่าสายตาของทุกคนจับอยู่ที่ร่างนาง รีบจับหูเป็นการปกปิด ทำให้มันยิ่งสะดุดตามากขึ้นพอดี นางลุกลนดึงแขนเสื้อให้เข้าที่ พอเห็นคนที่มุงดูอยู่รอบๆ มีสีหน้าแปลกชอบกล นางถลึงตาตะโกนใส่อี๋อวี้
“นี่ข้าใช้เงินซื้อมาเอง แล้วใส่ไม่ได้หรืออย่างไร” นางพูดคำนี้ออกมากลับเป็นการตบปากตนเอง เมื่อครู่นี้นางยังบอกว่าตนเองเป็นคนยากจน ตอนนี้ร่ำรวยจนสวมใส่ของมีค่าได้เสียแล้ว หญิงซึ่งออกเรือนแล้วสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างค่อยๆ ถอยไปที่หน้าประตู
อี๋อวี้ส่งเสียงเยาะ “ครอบครัวท่านมีที่นาอยู่ทั้งหมดแค่สิบหมู่นั่น ทั้งไม่ได้ทำมาหากินทางอื่น หากมิใช่มารดาข้าใจดีว่าจ้างท่าน ให้ท่านได้เงินจากการขายปิงถังหูลู่ ท่านจะเอาเงินทองจากที่ใดซื้อเครื่องประดับเหล่านี้”
กล่าวจบก็ไม่รอซานกูโต้แย้ง อี๋อวี้เดินไปข้างหน้าหลายก้าวจนหยุดฝีเท้าลงหน้าประตู พูดกับชาวบ้านที่มุงดูอยู่ด้วยหน้าตาคับข้องหมองใจ “ทุกท่านเพียงนึกว่าสกุลหลูของข้าห้ามนางค้าขาย บอกว่าพวกข้าแล้งน้ำใจ หากแต่ไม่คิดว่าพวกข้าหญิงม่ายกับลูกกำพร้าสามคนมาถึงตำบลนี้ แปลกที่แปลกทางไม่มีคนรู้จัก ต้องตรากตรำทำงานเช้าจรดค่ำนานสามปีถึงมีฐานะอย่างทุกวันนี้ได้ มารดาข้าอยากให้ทุกคนหาเงินได้บ้าง ว่าจ้างพวกสตรีมาค้าขายด้วยกัน คนที่สกุลหลูว่าจ้างเมื่อครึ่งปีก่อน บัดนี้มีเรือนใดบ้างที่ไม่กินดีอยู่ดีและสร้างเรือนหลังใหม่ เดือนที่แล้วตอนเลิกขายยังแบ่งให้ครอบครัวละสิบตำลึง แต่กลับมีคนบางคนได้ประโยชน์ไปแล้ว ตอนนี้ยังจะมาหวังทรัพย์สินของครอบครัวข้าโดยไม่ละอาย”
อี๋อวี้นั้นเดิมทีมีดวงหน้าขาวเนียมนุ่มจิ้มลิ้มพริ้มเพรา นางยังจงใจปั้นหน้าคับข้องหมองใจอย่างนั้น เพียงใช้ดวงตาสุกใสคู่โตมองไป ก็ทำให้คนบังเกิดความเห็นอกเห็นใจได้แล้ว ตอนแรกคนที่มุงดูอยู่เหล่านี้ยังรู้สึกว่าซานกูมีเหตุผล แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ของอี๋อวี้ สายตาทุกคู่ซึ่งมองไปที่ซานกูอีกคราล้วนเจือรอยคลางแคลงใจ
ใบหน้าซานกูเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียว นางถูกอี๋อวี้ที่หันหลังให้ทุกคนถลึงตาใส่กะทันหันจนนิ่งงันอยู่กับที่ “ซานกู ท่านอย่านึกนะว่าพวกพี่ชายข้าล้วนไม่อยู่เรือนแล้วคิดจะข่มเหงข้ากับท่านแม่ได้โดยง่าย ท่านแค่อยากฉวยโอกาสฉกฉวยประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น กลับพูดโกหกพกลมได้อย่างไม่อายปาก อันใดเรียกว่าปิดบังท่านลอบรับเงินไว้เอง ข้าขอบอกท่านอย่างกระจ่างชัดว่า เมล็ดพันธุ์ต้นเล็บแดงนั่นเป็นของของสกุลหลู ผืนดินที่ปลูกต้นเล็บแดงก็เป็นของของสกุลหลู ถึงมารดาข้าจะบอกขาย ก็มิใช่กงการอะไรของท่าน!”
“เจ้า…เจ้า….เจ้าเด็กปากร้าย ข้าไม่พูดกับเจ้าแล้ว เจ้าไปเรียกแม่เจ้าออกมา ข้าจะพูดกับนางเอง!” ซานกูเห็นว่าไม่อาจชิงความได้เปรียบจากอี๋อวี้ ก็หันเหเป้าหมายไปที่หลูซื่อซึ่งมีนิสัยตรงไปตรงมามากกว่า
อี๋อวี้ไม่ทันอ้าปากปฏิเสธ เห็นเสี่ยวหม่านเปิดม่านขึ้น หลูซื่อก้าวออกมาจากในห้องแล้ว
นางโบกมือเรียกบุตรสาวเข้าไปหา อี๋อวี้กลืนคำพูดที่มารออยู่ปลายลิ้นกลับลงคอ เดินไปยืนอยู่ข้างกายมารดาอย่างว่าง่าย หลูซื่อถึงเบนสายตาไปยังซานกูที่นั่งอยู่บนพื้น
“หลูเอ้อร์เหนียง!” ซานกูชิงตะโกนขึ้นก่อนนางเอ่ยปากพูด เพื่อดึงความสนใจของผู้คนมาที่ตนเอง “หลูเอ้อร์เหนียง ท่านบอกมาเองเลยว่าที่ท่านร่ำรวยมั่งคั่งได้เพราะพวกข้าช่วยท่านขายปิงถังหูลู่ใช่หรือไม่”
หลูซื่อได้ยินนางกล่าววาจากลับดำเป็นขาวเยี่ยงนี้ก็ไม่โกรธเคือง นางย้อนถาม “ท่านกล้าบอกกับทุกคนหรือไม่ว่าตั้งแต่ข้าจ้างท่านมาขายของ ครึ่งปีมานี้ท่านหาเงินได้เท่าไร”
ซานกูชะงักอยู่กับที่ไปชั่วขณะ นางละล้าละลังครู่ใหญ่ยังอ้ำอึ้งพูดไม่ออก หลูซื่อคลี่ยิ้มกล่าวตอบแทน “ท่านกระดากปากที่จะพูด ข้ามาคำนวณให้ท่านเอง…เดือนๆ หนึ่งได้กำไร น้อยก็ห้าตำลึงมากก็สิบตำลึง ครึ่งค่อนปีที่ผ่านมามีใครคนใดบ้างไม่ได้เงินเกือบร้อยตำลึง”
ชาวบ้านรอบๆ บางคนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังได้ยินเงินจำนวนนี้ ลมหายใจสะดุดเฮือกหนึ่งไปตามๆ กัน นี่เป็นการแจกเงินให้พวกนางชัดๆ ใช่จ้างคนทำงานที่ไหนกัน! มิน่าทุกคราที่พวกสตรีซึ่งทำงานให้สกุลหลูถูกถามเรื่องค่าจ้าง ล้วนตอบอย่างกำกวมไม่ชัดเจน ที่แท้ได้เงินดีอย่างนี้นี่เอง!
หลูซื่อกล่าวสืบไป “หากไม่มีฝีมือทำปิงถังหูลู่ของครอบครัวข้า หากไม่มีผลเล็บแดงในไร่ของครอบครัวข้า ท่านจะหาเงินมากมายปานนั้นจากที่ใด เพียงเพราะตอนนี้ข้าไม่เปิดโอกาสให้ท่านตักตวงเงินทองนี้ได้อีก ท่านก็คิดจะข่มขู่รีดไถข้า หมายแบ่งทรัพย์สินที่พวกข้าแม่ลูกสกุลหลูหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ซานกู ท่านลองถามมโนธรรมในใจดูทีว่าเป็นข้าแล้งน้ำใจหรือท่านโลภมากเกินไปกันแน่”
ถ้อยคำเดียวที่ว่า ‘เป็นข้าแล้งน้ำใจหรือท่านโลภมากเกินไปกันแน่’ ทำให้ทุกคนในที่นั้นล้วนสะดุ้งในใจเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นพวกที่อิจฉาตาร้อนเพราะรู้ว่าสกุลหลูร่ำรวย หรือพวกที่ยอมรับไม่ได้ที่ถูกหลูซื่อเลิกจ้าง เกรงว่าในเสี้ยวเวลานี้ต่างต้องถามใจตนเองและคิดได้แจ่มแจ้งแล้ว
ตั้งแต่สามปีก่อนเป็นต้นมา หลูซื่อที่มีนิสัยอารมณ์ร้อนก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสุขุมนุ่มนวลขึ้น ยามประสบปัญหาก็ไม่เอาแต่โมโหร้อนใจอีก อี๋อวี้รู้ดีแก่ใจว่านางเคยพลาดท่าเสียรู้ครั้งใหญ่ตอนอยู่ที่หมู่บ้านเค่าซานถึงได้เปลี่ยนแปลงไป วันนี้เห็นมารดาใช้แค่คำพูดไม่กี่คำเช่นนี้ แม้ไม่เชือดเฉือนอย่างนาง กลับสามารถโน้มน้าวใจคนได้มากกว่า อดรำพึงในใจไม่ได้ว่าขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดโดยแท้
คำกล่าวของหลูซื่อทำให้ซานกูอึ้งงันไปทันควัน หลูซื่อเหลียวมองผู้คนรอบด้านที่นิ่งเงียบในชั่วพริบตา ถอนใจเฮือกหนึ่ง “เฮ้อ…ทุกคนแยกย้ายไปเถอะ ซานกู…ท่านจะกลับไปเอง หรือต้องรอให้ข้าเรียกเจ้าหน้าที่มาจับตัวท่านไปจริงๆ”
สีหน้าของซานกูปนเปไปด้วยความรู้สึกหลากหลายวูบหนึ่ง สุดท้ายนางให้น้องสาวสามีที่ยืนห่างออกไปอยู่ตลอดประคองเดินออกจากเรือนสกุลไป
เมื่อกลุ่มคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อี๋อวี้สั่งกำชับเสี่ยวหม่านปิดประตูเรือนแล้วเก็บกวาดลานด้านหน้า ส่วนตนเองสอดมือคล้องแขนมารดาเดินเข้าไปในห้องโถง
“ท่านแม่ ท่านเก่งกาจจริงๆ พูดไม่กี่คำก็ไล่นางไปได้แล้ว” อี๋อวี้หยิบเบาะรองสองอันมาวางบนพรมปูพื้น และนั่งลงกับหลูซื่อ
เรื่องเมื่อครู่นี้ย่อมส่งผลถึงอารมณ์ของหลูซื่อไม่มากก็น้อย รอยยิ้มบนใบหน้านางฝืดเฝื่อนอยู่บ้าง “ข้าเก่งกาจที่ใดกัน แค่ใจนางไม่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง คนเราน่ะมีใครบ้างไม่โลภมาก พวกเราทำสัญญากับร้านต้าซิง มิใช่หวังเงินห้าพันตำลึงนั่นเช่นเดียวกันหรือ หากแต่เงินบางอย่างที่สมควรได้ พวกเราก็รับไว้อย่างสบายใจ ส่วนเงินบางอย่างไม่สมควรได้ เอื้อมมือไปพาจิตใจมืดบอด”
อี๋อวี้ขบคิดพินิจถ้อยวาจานี้อยู่ในใจ หลูซื่อยื่นมือมาผลักนางเบาๆ บอกให้ไปหยิบของเตรียมตัวไปที่เรือนของหลิวเซียงเซียง นางถึงลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องนอนทางด้านขวาของหลูซื่อ
ยามนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว หลิวเซียงเซียงเพิ่งแต่งงานเมื่อตอนเดือนสองกับอาจารย์สอนหนังสือนามว่าหวงเฮ่อ ตระกูลเขามีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง หลูซื่อใช้เงินไปถึงร้อยตำลึงจัดเตรียมสินเจ้าสาวให้นาง นับได้ว่าเป็นเจ้าสาวที่ออกเรือนอย่างมีหน้ามีตาในตำบลนี้ ก่อนหลูซื่อทำสัญญากับเถ้าแก่จ้าวของร้านต้าซิงได้บอกกับหลิวเซียงเซียงแล้ว หลายวันก่อนพอได้รับเงินตามสัญญา นางปรึกษากับอี๋อวี้ไว้ว่าจะแบ่งออกมาห้าร้อยตำลึง ปลีกเวลาเอาไปมอบให้หลิวเซียงเซียง
ครั้นวันนี้ว่างแล้วกลับพบกับเรื่องวุ่นวายพรรค์นี้ ยังดีที่ไล่คนกลับไปได้ ตอนนี้ยังเช้าอยู่ ไปที่เรือนสกุลหวงได้พอดี
อี๋อวี้ล้วงหีบเล็กๆ ใบหนึ่งจากใต้เตียงหลูซื่อ แงะฝาปิดพักหนึ่งถึงเปิดออก ในนั้นมีตั๋วเงินมูลค่าสูงวางเรียงกันเป็นปึกหนาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทุกใบล้วนประทับตราของร้านแลกเงินทงเทียนแห่งเมืองฉางอัน นางนับตั๋วเงินร้อยตำลึงห้าใบแล้วพับเก็บไว้ในถุงผ้าปักที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อวันก่อนอย่างระมัดระวัง จากนั้นปิดหีบแล้วเก็บเข้าไปใต้เตียงถึงสาวเท้าออกมาจากห้องนอน
หลังวันปีใหม่ผ่านไป หลูจวิ้นตามหลูจื้อไปพักอยู่ในสำนักศึกษาหลวง เพราะมีอาจารย์อาวุโสสอนหมัดมวยคนหนึ่งมาอยู่ที่นั่น เขาได้ยินจากหลูจื้อโดยบังเอิญก็เซ้าซี้จะตามไปดู เด็กหนุ่มย่างวัยสิบหกสิบเจ็ดแล้วกลับยังคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง หลูซื่อจนปัญญากับเขา เมื่อถามหลูจื้อซ้ำๆ จนมั่นใจว่าพาเข้าไปจะไม่เกิดปัญหาใด จึงตกลงให้เขาไปฉางอันด้วย
ด้วยเหตุนี้บุตรชายสองคนยังไม่รู้เรื่องที่หลูซื่อได้รับเงินมาห้าพันตำลึง
สองสามวันก่อนหลูซื่อกับอี๋อวี้เพิ่งสะสางการงานในเรือนจนเข้าที่เข้าทาง พอวันนี้ไปมอบเงินให้หลิวเซียงเซียงแล้ว สองแม่ลูกก็จะเตรียมตัวไปหาพวกเขาที่ฉางอันวันพรุ่งนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป…