บทที่สิบเจ็ด
เมื่อวันที่ห้าเดือนสามในปีรัชศกเจินกวนที่หนึ่ง สำนักการศึกษาของราชวงศ์นี้ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เพื่อใช้เป็นสถานที่ที่เล่าเรียนคัมภีร์และศาสตร์ความรู้ต่างๆ ของสำนักข่งจื่อ สำนักการศึกษายังเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าสำนักศึกษาหลวง มีสำนักศึกษาภายใต้สังกัดห้าสำนัก คือ ไท่เสวีย ซื่อเหมินเสวีย ซูเสวีย ซ่วนเสวีย และลวี่เสวีย ในบรรดาห้าสำนักนี้ สำนักไท่เสวียกับสำนักซื่อเหมินเสวียซึ่งรับแต่บัณฑิตที่เข้าสอบรับราชการในระดับหมิงจิงกับจิ้นซื่อมีจำนวนลูกศิษย์มากที่สุด และนอกจากสำนักลวี่เสวียแล้ว สี่สำนักที่เหลือล้วนรับเฉพาะเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีอายุสิบสี่ถึงสิบเก้าปีเท่านั้น
คัมภีร์สำนักข่งจื่อแบ่งเป็นต้นกลางปลายสามระดับรวมเก้าเล่ม ลูกศิษย์ของทั้งห้าสำนักต้องเลือกอย่างน้อยสองเล่ม อย่างมากห้าเล่มเพื่อศึกษาท่องจำ ส่วนศาสตร์ทั้งหกของสำนักข่งจื่อได้แก่ จารีต ดนตรี ยิงธนู ขับรถม้า เขียนอักษร และคำนวณล้วนต้องเรียนรู้ฝึกฝน
เมื่อแรกที่ก่อตั้งสำนักไท่เสวียขึ้นมีลูกศิษย์ห้าร้อยคน เป็นลูกหลานของเหล่าเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางขั้นสามขึ้นไป ขณะที่สำนักซื่อเหมินเสวียมีลูกศิษย์หนึ่งพันสามร้อยคน เป็นลูกหลานของขุนนางเมืองหลวงขั้นเจ็ดขึ้นไป
รัชศกเจินกวนปีที่สาม เถาเหวินเจี้ยน เสนาบดีกรมพิธีการได้ถวายฎีกาทูลขอให้สำนักการศึกษาเริ่มรับสามัญชนที่มีสติปัญญาล้ำเลิศและยังมีอายุไม่ครบสิบหกปีเข้าเล่าเรียนศึกษา โดยให้ผู้ปราดเปรื่องทรงคุณธรรมชื่อดังเสนอชื่อแล้วส่งตัวเข้าสู่สำนักซื่อเหมินเสวียเป็นที่แรก
ในสำนักศึกษาหลวงจัดการสอบสามประเภทคือ สอบย่อยทุกสิบวัน สอบใหญ่ปลายปี และสอบไล่เพื่อสำเร็จการเล่าเรียน ผู้มีผลสอบประจำปีดีเด่นของสำนักซื่อเหมินเสวีย จะได้รับเลือกเข้าสู่สำนักไท่เสวียสามคน ในทางกลับกันผู้มีผลสอบต่ำที่สุดของสำนักไท่เสวียก็ต้องถูกย้ายไปที่สำนักซื่อเหมินเสวีย
ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงคนใดก็ตามที่เล่าเรียนครบสี่ปีและเป็นผู้มีผลสอบดีเด่นจากการสอบไล่ และผ่านการพิจารณาคุณสมบัติแล้ว ขุนนางผู้มีตำแหน่งสูงสุดของสำนักการศึกษาหรืออาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาหลวงจะคัดเลือกสิบคนเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งของปีนั้นได้โดยตรง
เด็กหนุ่มรูปงามในชุดเสื้อคลุมยาวซ้อนผ้าโปร่งสีม่วงอ่อนมือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งถือตำราอ่านอยู่ในศาลารับลมทรงสี่เหลี่ยมมุงกระเบื้องสีเทาอมเขียว เสียงโห่ร้องของบุรุษคละเคล้าเสียงร้องด้วยความตกใจของสตรีดังลอยมาจากที่ไกลๆ เป็นระยะ ทว่าไม่อาจรบกวนสมาธิของได้แม้สักกระผีก
ตราบจนเสียงฝีเท้าสับสนปะปนเสียงถกเถียงกันระลอกหนึ่งดังเข้ามาใกล้ เขาถึงขมวดคิ้วน้อยๆ เบนสายตาออกจากตำราในมือ
เด็กหนุ่มเด็กสาววัยสิบห้าสิบหกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาตามระเบียงเขียนลายที่พันพาดไปด้วยกิ่งไม้เขียวขจี สองคนที่สาวเท้านำอยู่ข้างหน้า คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกปี ดวงตาเป็นประกายสดใส รูปโฉมหล่อเหลา ถึงแม้เด็กสาวข้างกายจะแต่งกายด้วยชุดแพรไหมก็ไม่อาจบดบังรัศมีของเขาในอาภรณ์เรียบง่ายได้ นางมีเรือนร่างอรชร อิริยาบถงดงาม มาตรว่าท่วงท่าเยื้องย่างปราดเปรียว แต่สีหน้าทะนงตน
ทั้งคู่เดินโต้เถียงกันมาตลอดทางจนถึงศาลารับลม มีคนเดินกระจัดกระจายตามหลังพวกเขาไม่ต่ำกว่าสิบคน ชั่วอึดใจโถงศาลางามวิจิตรที่คับแคบแต่เดิมก็แลดูแออัดเบียดเสียดขึ้นมา
หลูจื้อปิดตำราในมือ ลุกขึ้นยืนโค้งกายน้อยๆ คารวะเด็กสาวที่นั่งลงด้านข้างตนเองผู้นั้นอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม “องค์หญิง”
เด็กสาวเบื้องหน้าผู้นี้คือพระธิดาน้อยที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโปรดปรานที่สุด…องค์หญิงเกาหยาง นับแต่หลูจื้อย้ายจากสำนักซื่อเหมินเสวียเข้าสู่สำนักไท่เสวียเมื่อหนึ่งปีก่อน ก็ต้องพบปะพูดคุยกับพระธิดาผู้สูงส่งซึ่งมักเป็นฝ่ายมาหาเขาเองพระองค์นี้
ใบหน้าของเกาหยางยังฉายแววฉุนเฉียว ขณะถลึงตาใส่หลูจวิ้นที่ทำหน้าข่มกลั้นความโกรธไว้ดุจเดียวกัน ยามนางหันไปมองหลูจื้อถึงมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย “ไม่ต้องมากพิธี ข้าบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้พี่จื้อเรียกข้าว่าเกาหยางก็ได้”
หลูจื้อหยักยิ้มไม่ขานตอบ เขาหันไปมองหลูจวิ้นพลางถาม “เจ้าไปทำอะไรให้องค์หญิงกริ้วอีกแล้ว”
“พี่ใหญ่ เป็นองค์หญิงมาตอแยข้าก่อนนะ ข้ากำลังดูอาจารย์หวังรำมวยอยู่ จู่ๆ องค์หญิงก็เข้ามาบอกข้าว่าอาจารย์หวังมีวิชายุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ! ข้าย่อมต้องมีน้ำโหเป็นธรรมดา…”
“ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจ้าจะพูดว่าข้ายังไม่ดีเท่าเด็กตัวเหม็นคนหนึ่งไม่ได้กระมัง”
“ก็ทรงไม่ดีเท่าเสี่ยวอวี้จริงๆ แล้วเสี่ยวอวี้มิใช่เด็กตัวเหม็นด้วย เสี่ยวอวี้ทั้งฉลาดทั้งรู้จักมารยาท ส่วนองค์หญิงทรงไม่รู้จักว่าอะไรคือให้เกียรติผู้อื่นสักนิด”
“ข้าไม่ให้เกียรติผู้อื่นที่ใดกัน ก็เขามีวิชายุทธ์แค่งูๆ ปลาๆ จริงๆ ยังเทียบองครักษ์ที่เสด็จพ่อทรงประทานให้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำไป เสี่ยวอวี้อะไรๆ ที่เจ้าว่านั่นนะ นางดีกว่าข้าตรงไหนเล่า”