สองพี่น้องลัดเลาะผ่านระเบียงทางเดินยาวเหยียดเข้าสู่เรือนพักศิษย์ที่ลานด้านหลังทางประตูเล็ก จากนั้นวิ่งทะยานไปที่ประตูหลัง พอถึงหน้าประตู มองปราดแรกก็เห็นคนสองคนที่ยืนอยู่บนแท่นบันไดหินอ่อน
“ท่านแม่ เสี่ยวอวี้”
อี๋อวี้คุยเรื่องตอนไปที่เรือนหลิวเซียงเซียงเมื่อวานกับหลูซื่อเสียงเบาๆ พลันได้ยินเสียงตะโกนลอยมา นางหลบไปอยู่ข้างหลังมารดาตามสัญชาตญาณ ถึงรอดพ้นฝ่ามือสองข้างที่เหยียดมาตรงหน้าไปได้อย่างหวุดหวิด
“พี่รอง” อี๋อวี้ซ่อนอยู่ข้างหลังหลูซื่อ เพียงโผล่ศีรษะน้อยๆ ออกมา “พี่กล้ายกตัวข้าลอยจากพื้นอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะขอให้ท่านแม่พาพี่กลับทันที”
ทุกคราที่หลูจวิ้นลอบจู่โจมสำเร็จ ตัวนางต้องถูกชูขึ้นหมุนไปรอบๆ นานพักใหญ่ ตามมาด้วยอาการวิงเวียนตาลายแล้วยังต้องอกสั่นขวัญหาย เผอิญหลูจวิ้นที่โตแต่ตัวสมองไม่โตกลับจดจำคำเตือนของนางไม่ได้อยู่ร่ำไป
หลูจวิ้นหัวเราะแหะๆ ชักมือกลับอย่างเก้อกระดาก ตอนนี้เขายังไม่อยากกลับบ้าน อาจารย์หวังซึ่งมาเป็นผู้ช่วยอาจารย์สอนวิชายิงธนูปีนี้มีฝีมือลายไม้พอตัวจริงๆ เขายังดูไม่จุใจเลย
เห็นอี๋อวี้ก้าวจากข้างหลังมารดาออกมายืนในที่สุด หลูจื้อผ่อนลมหายใจแผ่วๆ ยื่นมือไปลูบหัวของเด็กสาวที่สูงแค่หัวไหล่ตนเอง ก่อนจะกล่าวกับมารดาด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ไม่ได้มาหาพวกข้าเกือบสองเดือน ไฉนวันนี้นึกขึ้นได้ว่ายังมีบุตรชายอยู่อีกสองคนล่ะขอรับ”
หลูซื่อเม้มปากยิ้ม ตบไหล่เขาเบาๆ ทีหนึ่ง “ชอบพูดเหลวไหล ไปเถอะ หาที่เงียบๆ สักแห่ง แม่มีเรื่องคุยกับพวกเจ้า”
เมื่อสามปีก่อน ครอบครัวสี่คนได้พบกันครั้งแรกที่เมืองฉางอัน ดื่มชากาละสองอีแปะ สั่งผัดผักจานหนึ่งราคายี่สิบอีแปะ ต้องเดินเท้าจากฟากทิศเหนือไปยังทิศใต้ของเมืองนานครึ่งค่อนชั่วยาม
แต่บัดนี้มารดากับบุตรสาวสองคนเช่ารถม้าที่ดีที่สุดของตำบลหลงเฉวียน ค่าเช่าตลอดวันสองตำลึง สุดแท้แต่จะว่าจ้างรถม้าไปที่ใด สารถีก็จะพาไปส่งทุกที่ เมื่อรับบุตรชายสองคนสกุลหลูที่เรือนพักศิษย์แล้ว รถม้าพาชาวสกุลหลูทั้งครอบครัวไปยังอันอี้ฟางตรงถนนแยกที่สามฟากตะวันออกของถนนจูเชวี่ย จ่ายเงินห้าตำลึงจับจองห้องส่วนตัวในหอสุราแห่งหนึ่ง
หลูจื้อดื่มชาเขียว หูได้ยินอี้อวี้สั่งอาหารที่เห็นชัดว่าราคาไม่ถูกทีละอย่างๆ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มาตรว่าในใจมีข้อกังขา กลับไม่เอื้อนเอ่ยออกจากปาก
“เอาล่ะ พอเท่านี้” อี๋อวี้เบนสายตาออกจากป้ายไม้ไผ่สลักชื่ออาหารที่แขวนเรียงเป็นแถวบนผนังห้อง มองเห็นเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าตะลึงงัน นางล้วงเศษก้อนเงินไม่กี่ก้อนในแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ “ยกอาหารมาให้ว่องไวสักหน่อย”
เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นถึงยิ้มจนตาหยี ขานตอบว่าขอรับๆ ไม่ขาดปาก เขาหยิบเศษก้อนเงินจากบนโต๊ะ เดินอ้อมฉากกั้นถอยออกไป
หลูจวิ้นรอจนเขาไปแล้วยากจะอดทนต่อไปได้ไหวอีก “เสี่ยวอวี้ ไฉนเจ้าสั่งอาหารแพงขนาดนี้ ซ้ำยังให้เงินเสี่ยวเอ้อร์ทำไม”
อี๋อวี้ปิดปากหัวเราะ “พี่รอง ที่นี่คือหอจวี้เต๋อนะ มาร้านนี้แล้วไม่สั่งอาหารยี่สิบสามสิบตำลึงขึ้นไป เกรงจะถูกไล่ตะเพิดน่ะสิ ที่ข้าให้เงินเสี่ยวเอ้อร์ เพราะจะให้เขาเร่งทางห้องครัวยกอาหารมาให้พวกเราเร็วหน่อย พี่ดูชั้นล่างมีคนมากมายปานนั้น เมื่อไหร่จะวนมาถึงพวกเราเล่า”
ปีที่แล้วอี๋อวี้กับหลูซื่อตระเวนเร่ขายถังหูลู่ไปทั่วทั้งเมืองฉางอัน เป็นธรรมดาที่จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวชีวิตผู้คนที่น่าสนใจไม่น้อย แม้นหอจวี้เต๋อแห่งนี้เทียบมิได้กับร้านขึ้นชื่อลือชาที่พวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปกันบ่อยๆ แต่เป็นหอสุราที่ขึ้นหน้าขึ้นตาเหมือนกัน ตอนอยู่ที่เรือน นางต้องพูดกับหลูซื่อนานสองนาน ถึงได้รับอนุญาตให้พาพี่ชายสองคนมาที่นี่
“อะไรนะ” ดวงตาคู่โตใต้คิ้วดกหนาเบิกกว้าง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ต้องกินแล้ว นี่มิใช่ตุ้มตุ๋นกันหรือ” หลูจวิ้นเป็นคนจิตใจใสซื่อ จับน้ำเสียงล้อเล่นกึ่งจริงกึ่งเท็จของอี๋อวี้ไม่ได้แม้สักนิด เขาจะตบโต๊ะเดินออกไปรอมร่อ หลูจื้อที่นั่งอยู่ด้านข้างรีบรั้งเอาไว้
“เจ้าคนทึ่ม คำพูดจริงหรือเท็จยังฟังไม่ออกหรือไร” หลูจื้อนั้นไม่เคยเป็นฝ่ายมาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายในสถานที่แบบนี้เอง ทว่าบางคราวสหายร่วมสำนักศึกษาที่สนิทสนมกันชักชวนแล้วบอกปัดไม่ได้ เขาจึงเคยไปสถานที่โอ่อ่าหรูหรากว่าหอจวี้เต๋อนี้มาก่อนบ้าง
อี๋อวี้เห็นสายตาไม่ชอบใจของมารดา ยังมีสีหน้าที่ยังฉงนสนเท่ห์เต็มทีของหลูจวิ้น นางถึงอธิบายอย่างจนใจ “พี่รอง ข้าหยอกพี่เล่น แน่นอนว่าพี่มาที่นี่จะสั่งแค่น้ำชากาหนึ่งโดยไม่กินอะไรก็ได้ แต่วันนี้พวกเราจะฉลองกัน นานๆ ทีก็ฟุ่มเฟือยสักหนเถอะ”
หลูจวิ้นถามอย่างงุนงง “ฉลองอะไร”
เพราะยังพอมีเวลาก่อนอาหารจะถูกยกมาวางขึ้นโต๊ะ หลูซื่อเล่าเรื่องที่พวกตนทำสัญญากับร้านผลไม้แห้งต้าซิ่งให้ฟังอย่างละเอียด เด็กหนุ่มสองคนฟังจบแล้วมีสีหน้าต่างกันไป