ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 17 – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 17

หลูจวิ้นหน้าแดงก่ำ ถามละล่ำละลัก “ท่าน…ท่าน…ท่านแม่บอกว่าตอนนี้พวกเรามีเงินห้าพันตำลึงหรือ” เห็นหลูซื่อพยักหน้า เขาหันไปพูดกับอี๋อวี้อีก “เสี่ยวอวี้ เจ้าหยิกข้าทีหนึ่งสิ…โอ๊ย! ไยเจ้าต้องมือหนักปานนั้นด้วย”

พอมารดาขึงตามองมา อี๋อวี้หัวเราะแห้งๆ ปล่อยมือจากแก้มของหลูจวิ้น ไม่อยากยอมรับว่านางสบช่องเอาคืนหลูจวิ้นเรื่องที่โยนตัวนางเล่นเหมือนเหรียญอีแปะมาหลายครั้งหลายหน

สีหน้าของหลูจื้อกลับอ่านได้ยาก เขารอจนน้องชายกับน้องสาวเลิกเย้าแหย่กัน ถึงยิ้มขื่นๆ กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าอยู่บ้าง “ท่านแม่ เวลานี้ลูกเพิ่งประจักษ์ได้ว่าตนเองไม่เอาไหนมากจริงๆ”

เมื่อหลูซื่อกับอี๋อวี้สังเกตเห็นความผิดปกติของหลูจื้อ สีหน้าของพวกนางเปลี่ยนเป็นจริงจัง หลูซื่อเอื้อมมือไปกุมมือที่กำเป็นหมัดอยู่บนโต๊ะของเขาไว้แน่น กล่าวเสียงนุ่ม “จื้อเอ๋อร์ อย่าดูแคลนตนเอง ในสายตาของแม่ เจ้ากับจวิ้นเอ๋อร์ล้วนดีที่สุด”

อี๋อวี้คิดไม่ถึงว่าหลูจื้อจะพูดอย่างนี้ แต่เมื่อหยุดคิดเพียงเล็กน้อย ก็เข้าใจเหตุผลที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่ไรมาหลูจื้อถือเอาการทำให้ความเป็นอยู่ของสกุลหลูดีขึ้นและไม่ต้องถูกกดขี่ข่มเหงอีกต่อไปเป็นภาระหน้าที่ของตน หลังจากเกิดเรื่องนั้นที่หมู่บ้านเค่าซาน ยิ่งทำให้เขาต้องอัดอั้นตันใจ

เขาจวนเจียนจะสอบสำเร็จการเล่าเรียนในปีหน้า หลังจากนั้นจะมีโอกาสรับราชการแล้ว แต่มารดากับน้องสาวกลับดูแลครอบครัวจนรุ่งเรืองเฟื่องฟู เปรียบได้ดั่งคนผู้หนึ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายกับการเก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อของชิ้นหนึ่ง ทว่าตอนที่ขาดอีกไม่กี่ตำลึง กลับพบว่าของชิ้นนั้นถูกคนซื้อกลับมาวางไว้บนมือแล้ว ใครก็ตามที่ประสบกับเรื่องพรรค์นี้ ล้วนต้องรู้สึกจนปัญญาไม่มากก็น้อย

เมื่อได้ขบคิดลึกไปถึงชั้นนี้ อี๋อวี้ขยับตัวเบียดหลูจวิ้นออกไปแล้วนั่งลงบนเบาะรองข้างกายหลูจื้อ คว้ามืออีกข้างหนึ่งของเขาขึ้นมา “พี่ใหญ่ ท่านแม่พูดถูก นี่พี่ดูแคลนตนเองแล้ว ข้ากับท่านแม่เพียงหาเงินได้บ้าง ให้พวกเราได้กินดีอยู่ดีขึ้น แต่ถึงอย่างไรตระกูลเรามีทรัพย์สินบารมีน้อยนิด ถ้าเจอปัญหาอะไรจริงๆ ยังมิใช่ถูกคนอื่นฆ่าแกงตามชอบใจหรือ หากปีหน้าพี่สอบผ่าน ได้เป็นขุนนางสักตำแหน่ง เช่นนั้นพวกเราจะเป็นญาติพี่น้องของขุนน้ำขุนนาง ย่อมเหนือกว่ามีเงินเป็นหมื่นตำลึงนะ เมื่อมีศักดิ์มีฐานะ คนทั่วไปก็ไม่กล้ารังแกพวกเราโดยง่าย”

หลูจื้อแค่คิดไม่ตกชั่วครู่ชั่วยาม ถึงที่สุดแล้วเขาเป็นคนฉลาดเฉลียว เมื่อมารดากับน้องสาวกล่าวปลอบประโลม สีหน้าเขาไม่ขมขื่นอย่างเมื่อครู่นี้ กลับเผยรอยยิ้มออกมาจางๆ “เอาล่ะ เมื่อครู่นี้เป็นข้าคิดไม่ตกไปเอง ท่านแม่กับน้องเล็กไม่ต้องเป็นห่วง มันเป็นความคิดที่บังเกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้นเอง”

อี๋อวี้เห็นเขาปราศจากท่าทางสลดหดหู่จริงๆ นางสองจิตสองใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่ เสี่ยวอวี้มีเรื่องอยากถามพี่คำหนึ่ง พี่ต้องตอบข้าตามสัตย์จริงนะ” หลูจื้อกุมมืออี๋อวี้ พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้นางถามได้ หลูซื่อกับหลูจวิ้นด้านข้างต่างเผยสีหน้าสนใจใคร่รู้

“พี่ใหญ่ พี่อยากสอบเข้ารับราชการ แค่ทำเพื่อครอบครัวเรา หรือว่าพี่อยากจะเดินทางสายนี้จริงๆ” ข้อสงสัยนี้ของนางเพิ่งบังเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ กระทั่งหลูซื่อ นางก็ยังไม่เคยบอก เมื่อครู่เห็นสีหน้าอย่างนั้นของหลูจื้อแล้วทำให้นางคิดขึ้นได้ ถ้าหลูจื้อมีใจอยากเดินไปในเส้นทางขุนนางจริงๆ ก็แล้วกันไป ถ้าเขาแค่ชมชอบอ่านตำรา ชิงชังการเป็นขุนนาง แต่เพียงเพราะคนทั้งครอบครัวถึงรับราชการ ยังมิสู้ไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือยังสุขสำราญใจกว่า

“ไม่ใช่” หลูจื้อตอบคำถามนี้อย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว อี๋อวี้รับรู้ว่าได้ว่าฝ่ามือใหญ่ที่กุมมือนางไว้กระชับแน่น ยังเห็นใบหน้าของเขาฉายแววแน่วแน่อย่างบอกไม่ถูก “ข้าอยากเป็นขุนนางจริงๆ บางทีอาจจะมีเหตุผลอย่างอื่นอีก แต่ประการสำคัญที่สุดคือตัวข้าเองอยากเป็น มีเพียงเป็นขุนนางเท่านั้น ข้าจึงมีกำลังความสามารถกระทำให้เรื่องที่ตนเองต้องการ”

ยามกล่าววาจานี้ นัยน์ตาสุกใสมีชีวิตชีวาของหลูจื้อเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นสุดจะกล่าว ราวกับมันสาดส่องดวงหน้าที่หล่อเหลาอยู่เดิมให้เปล่งประกาย แลดูสง่ามาดมั่นยิ่งขึ้น

อี๋อวี้ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ด้านหลูซื่อมีรอยปลาบปลื้มฉายฉานในดวงตา ขณะที่หลูจวิ้นแสดงสีหน้าคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างหาได้ยาก ในเวลานี้เองเสียงเคาะประตูสองทีดังมาจากด้านหลังฉากกั้น หลูจื้อเก็บงำความรู้สึกบนใบหน้าโดยพลัน

“เข้ามา” เขากล่าวคำหนึ่งด้วยเสียงที่ดังขึ้น เสี่ยวเอ้อร์ซึ่งรับใช้อยู่ด้านข้างตอนสั่งอาหารประคองถาดใบเขื่องเดินเข้ามาด้วยมือเดียวอย่างชำนิชำนาญ

เขาเดินเข้าเดินออกเช่นนี้สองรอบ ถึงวางจานใส่อาหารเรียงรายเต็มโต๊ะตัวเตี้ยเบื้องหน้าจนละลานตา เสี่ยวเอ้อร์ไต่ถามอย่างพินอบพิเทาอีกว่ายังมีอะไรกำชับอีกหรือไม่ หลูจื้อก็โบกมือให้เขาออกไป

การกินอาหารร่วมกับคนในครอบครัวไม่ต้องถือพิธีรีตองมากมายปานนั้น พวกเขาต่างคนต่างคีบกับข้าวให้แก่กันพลางพูดคุยสัพเพเหระ หลูซื่ออาศัยจังหวะนี้ บอกกล่าวเรื่องการจัดแบ่งเงินห้าพันตำลึงนั่นให้บุตรชายสองคนได้รับรู้

ร้อยตำลึงที่แบ่งให้หลิวเซียงเซียง ตอนแรกนางไม่ยอมรับไว้ ยังเป็นหลูซื่อยกคำขู่ว่าวันหลังจะไม่ไปมาสู่กับนางอีก นางถึงรับไว้ด้วยรอยยิ้มจนใจ

เงินส่วนที่เหลือรวมกับเงินที่เก็บออมมาหลายปีของครอบครัวแล้วมีห้าพันตำลึง หลูซื่อตั้งใจจะแบ่งสามพันตำลึงซื้อโรงนาให้บุตรชายคนละหนึ่งแห่งใกล้ๆ กับตำบลหลงเฉวียน และจ้างคนมาดูแลผลเก็บเกี่ยว ถือเป็นทรัพย์สมบัติให้พวกเขา

ส่วนอีกสองพันตำลึงซื้อเป็นพวกเครื่องประดับเงินทอง เพื่อตระเตรียมสินเจ้าสาวให้อี๋อวี้ล่วงหน้า ในเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรหลูซื่อก็ไม่ฟังเสียงท้วงติงของบุตรสาว

ครั้นบัดนี้บอกเล่าให้บุตรชายสองคนฟัง ยังได้รับความเห็นชอบในทางเดียวกันหมด อี๋อวี้จะคัดค้านสักเพียงไหน เสียงเดียวไม่อาจเอาชนะสามเสียงได้ นางได้แต่ปล่อยให้พวกเขาหารือกันไปอย่างหมดปัญญา

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com