ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นวลหยกงาม บทที่ 17
ในร้านย่อมมีสินค้าฝีมือประณีตแน่นอน เพียงแต่เขาเห็นแม่ลูกคู่นี้สวมใส่อาภรณ์แบบผู้มาจากตระกูลเล็กๆ แทนที่จะหยิบของออกมาให้พวกนางจับๆ ดูๆ แล้วไม่ซื้อ มิสู้พามาเลือกสองสามชิ้นจากชั้นวางตรงนี้
กล่าวไปแล้วก็ไม่ผิดแต่อย่างใด ก่อนที่แม่ลูกสองคนจะได้รับเงินห้าพันตำลึง แม้มีเงินเหลือเก็บไม่น้อย แต่ไม่เคยหักใจซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนั้น เพียงเปลี่ยนเรือนพำนักหลังใหม่ ส่วนที่เหลือล้วนเก็บหอมรอมริบไว้ ถึงการกินการอยู่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ทว่าไม่เหมือนกับพวกเศรษฐีในเมืองฉางอันที่ห่อหุ้มกายด้วยแพรพรรณหรูหรา และติดเครื่องประดับเต็มศีรษะ
วันนี้ทั้งคู่แต่งกายหมดจดสบายตามาก แต่ไรมาหลูซื่อชมชอบเสื้อผ้าสีเรียบๆ ส่วนอี๋อวี้สวมชุดกระโปรงรัดเอวสีฟ้านวล คลุมเสื้อตัวสั้นแขนสอบสีชมพูอ่อนทับไว้ด้านนอก ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น เรือนผมสีดำถักเป็นเปียสองเส้นแล้วม้วนขดไว้ข้างศีรษะเป็นทรงม้วยย้อย เสียบดอกอิ๋งชุนเล็กๆ สีเหลืองอ่อนหลายดอกตกแต่งง่ายๆ แม้นจะดูงามอ่อนหวานสุดจะเปรียบ แต่ไม่ละม้ายคุณหนูตระกูลเศรษฐีสักเศษเสี้ยว
อี๋อวี้ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในร้านเครื่องประดับพวกนี้มาก่อนเลยไม่เข้าใจคำกล่าวของหลงจู๊หลิว แต่นั่นมิได้หมายความว่าหลูซื่อจะจับความนัยของเขาไม่ออก
แม้ว่าวันนี้พวกนางไม่ตั้งใจซื้ออะไร กระนั้นมีตั๋วเงินร้อยสองร้อยตำลึงติดตัวมา มิต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น ถ้าจะซื้อเครื่องประดับศีรษะบนชั้นวางนี้ทั้งหมดก็น่าจะสองร้อยตำลึงเท่านั้น
หากเป็นเมื่อก่อน หลูซื่อถูกคนสบประมาทเช่นนี้ เกรงว่าคงโกรธเคืองไปนานแล้ว แต่บัดนี้นางอารมณ์เย็นลงไม่น้อย ทั้งรู้ว่าพฤติกรรมรังเกียจคนจน ชื่นชมคนรวยเป็นธรรมดาของปุถุชน หลงจู๊คนนี้หาได้มีเจตนาร้ายอันใด นางจึงมิได้รู้สึกไม่พึงใจอะไรมากมาย คิดแค่ว่าอีกประเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนไปดูร้านอื่นเป็นอันสิ้นเรื่อง
เห็นรอยยิ้มของหลงจู๊เลือนหายไปทีละน้อย หลูซื่อเอ่ยปากขึ้นในที่สุด “อวี้เอ๋อร์ พวกเราไปดูร้านถัดไปเถอะ”
อี๋อวี้ได้ยินแล้วผงกศีรษะ ความรู้สึกของนางต่อของประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยพวกนี้เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ไม่ถึงขั้นพูดได้ว่าชื่นชอบ ขณะที่นางจะวางป้ายหยกเขียวลายเถาดอกไม้ที่หลงจู๊ยื่นให้นางเมื่อครู่นี้ในมือลง เห็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมากระชากหยกที่นางไม่ทันได้วางลงชิ้นนั้นไป เพราะอีกฝ่ายออกแรงเต็มที่ ส่งผลให้เชือกที่ร้อยป้ายหยกครูดกับโคนนิ้วโป้งจนนางเจ็บ
อี๋อวี้ขมวดคิ้วเบือนหน้าไป เห็นเด็กสาวร่างเตี้ยกว่าตนเองสองชุ่นยืนอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นางอยู่ในชุดกระโปรงผ้าไหมบางเบางดงามอ่อนช้อย สวมสร้อยไข่มุกส่องประกายวิบวับบนลำคอ ดูท่าทางรุ่นราวคราวเดียวกัน ใบหน้าของนางขาวผุดผ่องมาก แต่แววดูถูกเหยียดหยามที่ปรากฏขึ้นบนนั้นยามปรายตามองมาทำให้อี๋อวี้ไม่ชอบใจ
อี๋อวี้เพียงมองอีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งแล้วนวดคลึงโคนนิ้วโป้งที่เจ็บอยู่ จากนั้นหันไปหาหลูซื่อ ตั้งท่าจะสอดมือคล้องแขนมารดาเดินออกไป กลับพบว่านางจ้องเขม็งไปที่ด้านหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด หัวคิ้วของอี๋อวี้ย่นเข้าหากันอีกคำรบหนึ่ง ยังมิได้เหลียวหน้าไปก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลของสตรีดังขึ้น
“อู่เอ๋อร์ ไฉนเจ้าวิ่งมาที่ร้านนี้เล่า”
อี๋อวี้หมุนกายไปเห็นตรงหน้าประตูร้านชิ่นเป่ามีเด็กสาวท่าทางคล้ายสาวใช้สองคนประคองสตรีแต่งกายหรูหรานางหนึ่งก้าวเข้ามา นางมุ่นผมมวยทิ้งเรือนอย่างสง่างาม ใบหน้าประทินโฉมแบบสตรีสูงศักดิ์ซึ่งกำลังแพร่หลายที่สุดของเมืองฉางอัน ส่วนเรือนร่างงามสล้างตามสมัยนิยม ดูจากรูปลักษณ์ของนาง เพียงย่างวัยสามสิบเศษ
หลงจู๊หลิวกำลังขุ่นใจรางๆ ที่เขาพูดแนะนำอยู่เป็นนาน สองแม่ลูกสกุลหลูกลับไม่ซื้อ ครั้นเห็นเด็กสาวที่แย่งป้ายหยกในมืออี๋อวี้ไปกับหญิงออกเรือนแล้วที่เดินผ่านประตูเข้ามา ใบหน้าเขาก็ฉีกยิ้มกว้างเกือบถึงใบหู ไม่สนใจอี๋อวี้กับหลูซื่อที่ยังยืนอยู่หน้าชั้นวางของ ก้าวเท้าฉับๆ เดินอ้อมผ่านพวกนางไปต้อนรับผู้มาถึง
อี๋อวี้พลันรู้สึกถึงแรงบีบตรงท่อนแขน จึงหันไปมองมารดาที่จู่ๆ ก็จับตัวนางอย่างฉงนใจ กลับถูกหลูซื่อที่ก้มศีรษะลงจูงออกจากร้านไปทันที พอก้าวพ้นประตูร้านยิ่งฉุดนางให้เดินเร็วขึ้นทุกที จวบจนห่างจากร้านชิ่นเป่ามายี่สิบกว่าจั้งถึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง
ในเวลานี้อี๋อวี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าหลูซื่อแข็งเกร็งไปทั้งตัว นางรั้งแขนมารดาพลางส่งเสียงเรียกเบาๆ ด้วยความห่วงใย “ท่านแม่?”
หลูซื่อไม่ขานตอบ เอาแต่ก้มหน้าเดินไป ผ่านไปครู่หนึ่งนางเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มฝืดๆ ให้บุตรสาว “แม่ไม่เป็นอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกแน่นหน้าอกเท่านั้นเอง ในร้านนั้นมีกลิ่นแปลกๆ” หลูซื่อไม่รู้เลยว่ายามนางกล่าววาจานี้ สีหน้าขาวซีดปานใด ริมฝีปากล่างมีรอยฟันกัดเต็มแรงชัดเจน
อี๋อวี้ใจกระตุกวูบหนึ่ง ฝืนสะกดใจไม่ถามข้อกังขาออกจากปาก แสร้งทำท่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะพูดตอบ “มิน่าข้าก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ที่แท้ในร้านนั้นมีกลิ่นแปลกๆ ท่านแม่ พวกเราอย่าเดินเที่ยวอีกเลย กลับกันเถอะเจ้าคะ” หลูซื่อพยักหน้ารับ
ระหว่างที่ทั้งคู่เดินไปทางที่รถม้าจอดอยู่ อี๋อวี้ก็พูดคุยต่อไปเรื่อยๆ หลูซื่อยังเหลียวมองไปด้านหลังไกลๆ ด้วยสีหน้าสับสน หาได้สังเกตเห็นไม่ว่ายามนี้อี๋อวี้ก็ลอบมองนางด้วยสีหน้าสับสนดุจเดียวกัน
หลังจากสองแม่ลูกสาวเท้าเร็วรี่ออกไปไม่นานนัก สตรีในชุดหรูหราผู้นั้นนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวของร้านชิ่นเป่า ขณะที่มือคลึงสร้อยลูกปัดหยกเขียวงามวิจิตรในหีบใบเล็กที่หลงจู๊หลิวยื่นส่งให้อย่างนอบน้อม ปากก็พึมพำกับตนเองเบาๆ
“คล้ายกันจริงๆ…แต่ว่านาง…นั่นสิ ต้องไม่ใช่นางแน่”
(ติดตามต่อในเล่มฉบับสมบูรณ์)