บทที่หนึ่ง
วันที่สิบสี่เดือนสิบ
ขณะเดียวกับที่อี๋อวี้ฝึกยิงธนูเสร็จแล้วเดินหมากกับหลี่ไท่อยู่ในห้องหนังสือ อีกด้านหนึ่งการประชันศาสตร์ขี่ม้าที่สำนักศึกษาหลวงกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
ณ ร้านสุราเล็กๆ แห่งหนึ่งกลางตรอกลึกทางทิศใต้ของเมืองฉางอัน ยามบ่ายลูกค้าบางตามาก ไม่เห็นกระทั่งคนที่เข้ามาซื้อสุรา ภายในร้านว่างโหรงเหรง หลงจู๊นั่งอยู่หลังโต๊ะหน้าร้านถือจอกใบน้อยจิบสุราคนเดียว
บุรุษสวมชุดเทาผู้หนึ่งย่างเท้าเข้ามานั่งลงที่มุมหนึ่ง หลงจู๊ถือกาสุราเดินเข้าไปหาอย่างไม่ลุกลี้ลุกลน
ชายชุดเทายกจอกขึ้นให้หลงจู๊รินสุรา พลางเอ่ยปากถาม “ข้าจากไปแค่ไม่กี่วัน กลับมาไม่ทันไรก็รีบเร่งตามข้ามา มีเรื่องใดหรือ”
ที่แท้บุรุษผู้นี้หาใช่ลูกค้า เขารู้จักมักคุ้นกับหลงจู๊ดี
หลงจู๊ทำหน้าขึงขังนั่งลงด้านข้าง กล่าวเสียงเบาเนิบนาบ “มี…มีข่าวสตรีผู้นั้นแล้วขอรับ”
ชายชุดเทาหงายคอดื่มสุรารวดเดียวหมดจอก เขาไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำอีกฝ่ายในชั่วขณะแรก “สตรี…สตรีคนใดกัน”
“ท่านรองหัวหน้าลืมไปแล้วหรือ ก็หลูจิ่งหลัน บุตรีคนเล็กของไหวกั๋วกง สตรีคนที่ตอนนั้นพวกเราพี่น้องรับคำสั่งของท่านหัวหน้าสืบหามาสิบกว่าปีอย่างไรเล่าขอรับ”
เสียงเปรี๊ยะลั่นขึ้นพร้อมจอกสุราที่ชายชุดเทากำไว้ในมือปริแตก เศษกระเบื้องร่วงกราวลงกระทบพื้นโต๊ะ
หลงจู๊เห็นสีหน้าที่ขุ่นมัวลงของอีกฝ่ายฉายอารมณ์ปรวนแปรไปมา เขาจึงส่งเสียงเรียกอย่างกังวลใจ “ท่านรองหัวหน้า?”
ครู่ใหญ่ต่อมา ชายชุดเทาแบมือออกปล่อยให้เศษกระเบื้องในมือที่ไม่เปื้อนคราบโลหิตสักน้อยนิดหล่นลง ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงเย็น “พูด!”
“ข่าวนี้เป็นสายที่แฝงตัวอยู่ในจวนสกุลฝางหาลู่ทางส่งออกมาให้ขอรับ ข้ายังส่งคนไปสืบข่าวอีกด้วย…ตอนนี้ครอบครัวของสตรีผู้นั้นอาศัยอยู่ในตำบลหลงเฉวียนทางทิศใต้ หลูจื้อบุตรชายคนโตกับหลูอี๋อวี้บุตรสาวคนเล็กเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษา ฝางเฉียวก็เพิ่งพบตัวพวกเขาเมื่อพักก่อน ดูเหมือนสตรีผู้นั้นไม่เต็มใจยอมรับเขา
สายคนนั้นรู้ถึงจิตใจของท่านหัวหน้าใหญ่ที่มีต่อสตรีผู้นั้น กลัวสกุลฝางจะรับพวกนางแม่ลูกกลับเข้าจวน จึงอยากยืมมือพวกเราขัดขวางเรื่องที่พวกเขาจะเปิดเผยความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน เวลานี้ไหวกั๋วกงกับหลูจื้อล้วนตามหาท่านอยู่ขอรับ”
ชายชุดเทาหน้าบึ้ง พอฟังเขาเล่าเรื่องที่สืบมาได้จนจบก็เอ่ยขึ้น “ตามหาข้า?”
“พวกเขาคล้ายจะอยาก…” หน้าตาของหลงจู๊ชักไม่สู้ดีเช่นกัน “อยากสืบข่าวของท่านหัวหน้าใหญ่จากตัวท่าน นับแต่อันอ๋องทำการล้มเหลวผ่านมานานหลายปีแล้ว พวกเขาเพิ่งโผล่มาตามหาคน ไม่รู้เป็นด้วยเหตุใดกันแน่ขอรับ”
ชายชุดเทาคือมู่ฉางเฟิงซึ่งพวกหลูจื้อยังหาตัวไม่พบ และเป็นผู้มีความเกี่ยวข้องกับหานลี่อย่างใกล้ชิด
หลงจู๊อาจไม่ล่วงรู้ว่าหลูจงจื๋อกับหลูจื้อเสาะหาหานลี่ด้วยเหตุใด ทว่ามู่ฉางเฟิงได้ฟังก็แจ่มแจ้งทันใด ยามนี้ในดวงตาของบุรุษนิสัยใจคอสุขุมผู้นี้ละม้ายมีประกายไฟคุโชน “ครั้งนั้นก็เป็นเพราะสตรีผู้นั้นพี่ใหญ่ข้าถึงได้… ดี ดี ในเมื่อพวกเขาต้องการหาตัวข้า เช่นนั้นข้าจะลากตัวพวกเขาออกมาก่อน! เจ้าสั่งการลงไป…”
หลังจากหารือกันยกหนึ่ง มู่ฉางเฟิงออกจากร้านสุราแห่งนั้น ด้านหลงจู๊ก็ปิดร้านแต่หัววัน
คฤหาสน์ลับ เมืองฉางอัน
ย่ำค่ำ ในห้องปีกตะวันตกของเรือนตึกเล็ก อี๋อวี้นั่งอยู่ตรงหัวเตียง ถือหนังสือกึ่งใหม่กึ่งเก่าเล่มหนึ่งในมือ มันเป็นหนังสือทำนองพิณที่นางค้นเจอตอนนางหาหนังสือบนชั้นวางหลังดวลหมากกับหลี่ไท่ในห้องหนังสือตอนบ่าย ซึ่งบันทึกบทเพลงทำนองกง ไว้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีบทหนึ่งคือ ‘ลำนำเขาเจี๋ยสือ : กล้วยไม้ป่า’
การประชันศาสตร์ขี่ม้าของวันนี้จบลงแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นศาสตร์ดนตรี และหากไม่ผิดพลาด หัวข้อการแนข่งก็คือทำนองเพลงที่หลี่ไท่เขียนบอกนางมาในสารไม่ลงชื่อ
ท่องหรือไม่ท่องดี
ถ้าท่อง อาจได้ครองป้ายไม้สลักป้ายหนึ่ง เป็นข้อยืนยันให้กับชื่อเสียงในเชิงความสามารถได้หนักแน่นยิ่งขึ้น
ถ้าไม่ท่อง อาจได้ที่สุดท้ายเพราะสิ่งที่ยากและไม่คุ้นเคยนี้…
ใจนางไม่อยากอาศัยหนทางนี้ชนะการประชันศาสตร์ จริงอยู่ว่าได้รับป้ายติดกันสองป้ายจะทำให้ชื่อเสียงของนางโด่งดังครั้งใหญ่ แต่แบบนี้มีความหมายใดเล่า ในเมื่อมันมิใช่ของของตน
กระนั้นหลี่ไท่แพร่งพรายหัวข้อให้นางรู้ก่อน ทั้งตอนนี้ยังส่งตำราให้ถึงมือทางอ้อมอีก นางจะปฏิเสธความปรารถนาดีของเขาหรือ
อี๋อวี้ลูบหน้าปกหนังสือ เพราะนางนั่งหันหลังให้แสงเทียนเลยเห็นสีหน้าไม่ใคร่แจ่มชัด ผ่านไปนานเท่าใดก็สุดรู้ นางถึงพูดงึมงำบางคำ ก่อนจะยกมือขึ้นพลิกเปิดดู
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้…