เช้าวันถัดมา อี๋อวี้นั่งรถม้าไปยังสำนักศึกษาหลวงตามลำพัง ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด วันนี้หลี่ไท่จึงไม่คิดจะไปชมการแข่งขัน ทว่าก็เป็นเรื่องดีสำหรับนางพอดี
อี๋อวี้รอพี่ชายกับมารดาในเรือนพักศิษย์ เมื่อวานซืนตอนกินฉลองกันอยู่ที่หอเทียนอ่าย นางกลับก่อนกลางคัน อาเซิงยกเหตุผลที่ฟังเข้าท่าเข้าทางให้หลูจื้อบอกต่อกับหลูซื่อ เมื่อวานนางมิได้ลงแข่งขัน หลูซื่อก็ไม่มาชมดู นึกว่าบุตรสาวเตรียมตัวการประชันศาสตร์ที่เหลืออยู่ในสำนักศึกษา ดังนั้นเมื่อได้พบหน้าหลังห่างกันไปหนึ่งวัน หลูซื่อจึงเพียงจับมือนางอย่างสนิทสนม หาได้ไต่ถามเรื่องสองวันก่อนไม่
ด้านนอกของหอจวินจื่อ เฉิงฮูหยินจับจูงกับหลูซื่อขึ้นเรือนไผ่ไป ส่วนสองพี่น้องกับเฉิงเสี่ยวเฟิ่งและเฉิงเสี่ยวหู่เข้าไปทางเรือนกล้วยไม้
ตอนอยู่ข้างนอก อี๋อวี้ก็รับรู้ถึงสายตาเพ่งพิศของผู้คนได้แล้ว ทันทีที่เข้าสู่ด้านในยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น
ที่นั่งผู้ชมการแข่งขันชั้นล่างจะมีลูกศิษย์ทุกสำนักปะปนกัน แต่ในเรือนกล้วยไม้วันนี้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์สำนักซูเสวีย พอเห็นอี๋อวี้ แทบทุกคนค้อมศีรษะคารวะนางพร้อมใบหน้าประดับรอยยิ้ม
อี๋อวี้ไม่ได้คารวะตอบทีละคน แค่พยักหน้ากับสองสามคนที่คุ้นเคย จากนั้นถูกเฉิงเสี่ยวเฟิ่งจูงไปนั่งตรงที่นั่งซึ่งเห็นได้ชัดว่าเว้นว่างให้พวกนางสี่คนล่วงหน้า
ครั้นนั่งลงแล้ว เฉิงเสี่ยวเฟิ่งก็เริ่มเล่าความสนุกครึกครื้นของการประชันศาสตร์ขี่ม้าเมื่อวานให้นางฟัง
การแข่งขันจัดขึ้นในลานขี่ม้าของสำนักศึกษา หัวข้อคือทักษะการขี่ม้าต่างๆ เช่น หยิบคว้าสิ่งของ มิใช่ขับรถศึก หากที่สร้างความประหลาดใจให้อี๋อวี้อยู่บ้างคือผู้ได้รับป้ายไม่ใช่คุณชายรองสกุลตู้ที่ชาวสำนักซูเสวียของนางฝากความหวังไว้ก่อนหน้านี้ แต่เป็นเกาจื่อเจี้ยนของสำนักไท่เสวีย
เกาจื่อเจี้ยนผู้นี้เป็นหลานในไส้ของเกาซื่อเหลียนหรือเซินกั๋วกงน้าชายแท้ๆ ของจ่างซุนฮองเฮาและจ่างซุนอู๋จี้ นับจากจุดนี้ถือได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่มีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดในสำนักศึกษาหลวง
“เฮ้อ ตู้เอ้อร์นั่นต้องคับใจเป็นแน่ เกาจื่อเจี้ยนคว้าธงได้มากกว่าเขาอันเดียว ถ้าเขาพยายามมากกว่านี้ สำนักซูเสวียของพวกเจ้าก็เสมอกับสำนักไท่เสวียของพวกข้าแล้ว ไม่แน่ว่าอันดับที่สองของห้าสำนัก ยังจะกลายเป็นสำนักซูเสวียที่ได้ครองไป”
เฉิงเสี่ยวเฟิ่งพูดพลางโคลงศีรษะอย่างเสียดาย ไม่คิดว่าจะมีเสียงหัวร่อแผ่วๆ ดังขึ้นข้างหลัง
อี๋อวี้เงยหน้าขึ้น เห็น ‘คนผิดหวัง’ ที่เฉิงเสี่ยวเฟิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่เดินมาที่ข้างโต๊ะของพวกนางตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
“พี่เสี่ยวเฟิ่งพูดได้ไม่ผิด ชิงป้ายมาไม่ได้ ข้าคับใจยิ่งนัก” ตู้เหอพยักหน้าให้พวกนางทีละคนแล้วนั่งลงข้างเฉิงเสี่ยวหู่ อีกด้านหนึ่งเป็นอี๋อวี้
เฉิงเสี่ยวเฟิ่งมีไมตรีกับตู้เหออยู่หลายส่วน นางจึงไม่รู้สึกมีอันใดน่ากระอักกระอ่วนที่ถูกจับได้ว่า ‘นินทา’ อีกฝ่ายลับหลัง
ข้างฝ่ายหลูจื้อกลับไม่อยากเห็นหน้าตู้เหอนัก เมื่อคิดไปถึงหลังการประชันศาสตร์วันก่อน อีกฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดน้องสาวอยู่ตลอด เขาก็กล่าวขึ้นยิ้มๆ
“คุณชายตู้มิได้ถนัดแต่ศาสตร์ขี่ม้า ได้ยินว่าทักษะทางดนตรียังดีด้วย พลาดป้ายของศาสตร์ขี่ม้านั่นไปก็ช่างปะไร วันนี้ตั้งใจจะชิงป้ายไม้สลักนี้หรือไม่”
ตู้เหอไม่เก็บงำรอยจืดเจื่อนบนหน้าแม้แต่น้อย “พี่หลูอย่ากระเซ้าข้าเลย คนที่มีทักษะทางดนตรีดีมิใช่ข้า เป็นพี่ใหญ่ข้าต่างหาก ข้าเพียงหวังว่าจะไม่รั้งท้ายเท่านั้นเป็นพอ”
อี๋อวี้ไม่ได้สังเกตว่าเขาเปลี่ยนคำเรียกขานหลูจื้อ พอได้ยินเขาเอ่ยถึงตู้รั่วจิ่น นางก็นึกขึ้นได้ว่าการประชันศาสตร์หลายวันมานี้ไม่เห็นวี่แววของชายหนุ่มผู้นั้นเลย จึงถามขึ้นอย่างฉงนใจเป็นอันมาก
“หลายวันนี้อาจารย์ตู้ไปที่ใดหรือถึงไม่เห็นเขามาชมการแข่งขัน”
ตู้เหอหุบยิ้ม พลางกล่าวทอดถอนใจ “พี่ใหญ่ข้าร่างกายไม่แข็งแรงเป็นเรื่องที่ใครๆ รู้กันทั่ว พักก่อนโรคเก่าของเขากำเริบอีกแล้ว ขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ในเรือน”
“ตอนเปิดเรียนแรกๆ พบเขาในวิชาวาดภาพสีก็ยังสบายดีอยู่ ฟังที่ท่านพูดคงค่อนข้างอาการหนัก?”
“ไม่ถึงขั้นอาการหนัก แต่จำเป็นต้องพักผ่อนมากๆ”
“อื้อ เช่นนั้นฝากความระลึกถึงอาจารย์แทนข้าด้วย”
ตู้รั่วจิ่นเคยช่วยเหลือนางหลายหน เมื่อแรกพบกันที่หน้าประตูเรือนพักศิษย์ เขาช่วยไล่จ่างซุนจื่อที่เดินมาหาเรื่องนางกับหลูซื่อไป ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเกาหยาง เขาช่วยพูดให้นาง ตอนถูกขังในเรือนมืด ยังช่วยกันกับหลูจื้อออกตามหานาง อี๋อวี้ทั้งชื่นชมทั้งถูกชะตากับชายหนุ่มสุภาพนุ่มนวลผู้นี้ พอได้ยินว่าเขาไม่ค่อยสบายก็เป็นธรรมดาที่จะถามไถ่ต่อสองสามคำ
ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้…