แม่สื่อหวังตรวจชะตาแปดอักษรของหลูซื่อเสร็จแล้ว นางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกระคนปีติยินดี ประหนึ่งมองเห็นเงินกำนัลก้อนใหญ่นั้นได้เข้าสู่ถุงเงินล่วงหน้า แต่เมื่อเหลือบตาขึ้นเห็นหลานสาวทำหน้าลังเลตัดสินใจไม่ได้ นางมุ่นคิ้วน้อยๆ เพราะครานี้เป็นการจับคู่คนที่อยู่ไกลกันคนละที่ ก่อนงานจะสำเร็จยังจำเป็นต้องมีคนของตนเองอยู่ทางนี้คอยสอดส่องดูแลสักคน นางใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับหวังซื่อที่ยังทำท่าละล้าละลังอยู่
“กุ้ยเซียง เจ้ายังต้องกลัวว่าหลูเอ้อร์เหนียงคนนั้นเสียเปรียบหรือ เฮ้อ เมื่อครู่นี้ข้าแค่อยากเออออตามความคิดของเจ้า กลายเป็นพูดเรื่องบางเรื่องเกินจริงไปบ้าง อันที่จริงนางออกเรือนไปมิใช่เรื่องเลวร้ายอันใด ข้าได้ยินได้ฟังว่านางเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ ขอเพียงมิใช่คนโฉดเขลาเบาปัญญาจนเกินไป ทั้งมีทายาทสืบสกุลให้นายท่านจางได้จริงๆ จะมีชีวิตที่ไม่สุขสบายได้อย่างไร เป็นถึงฮูหยินของประมุขตำบลเชียวนะ”
อาหญิงหวังพูดจบแล้วมองเห็นใบหน้าของหลานสาวผ่อนคลายลง นางกลอกตาทีหนึ่งก่อนกล่าว “ว่าอย่างไร ข้าจำได้ว่าหลูเอ้อร์เหนียงนั่นเคยตีเจ้ายกหนึ่งมิใช่หรือ เจ้ากลับไม่อาฆาตแค้นเคือง ยังคิดอ่านแทนคนอื่นอีก”
หวังซื่อหน้าเผือดลงเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ นางคิดไปถึงเรื่องที่คนในหมู่บ้านมักนินทาตนเองลับหลังหลังจากทะเลาะวิวาทกับหลูซื่อในครั้งนั้นเมื่อหลายปีก่อน และตรึกตรองทบทวนคำพูดทั้งหมดของอาหญิงตนอยู่นานพักหนึ่งแล้ว ทำใจแข็งบอกกับตนเองว่าถ้างานนี้สำเร็จได้จริงก็เป็นการทำเรื่องดีๆ ให้หลูเอ้อร์เหนียง ได้ออกเรือนอีกครั้งไปเป็นภรรยาเอกของนายตำบลจาง ไม่ดีกว่าเป็นหญิงม่ายหรอกหรือ
อาหญิงหวังเห็นนางพยักหน้าในที่สุด พลันแย้มยิ้มกว้างขวางจนเผยริ้วรอยเหี่ยวย่นนับสิบรอยเต็มใบหน้า สุ้มเสียงยังละมุนลงด้วย “แบบนี้ดีที่สุดแล้ว เรื่องนี้ไม่สำเร็จก็เป็นอาหญิงที่อับอายขายหน้า แต่ถ้าสำเร็จข้าไม่ลืมเงินตอบแทนของเจ้าอยู่แล้ว”
หลังทั้งสองเห็นพ้องต้องกันแล้วยังหารือต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นออกไปที่สกุลหลูพร้อมกัน
พวกนางจากไปได้ไม่นาน หลี่เสี่ยวเหมยที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องครัวลอบฟังอยู่ตลอดถึงชะโงกตัวออกมามองตามแผ่นหลังมารดากับท่านยายที่ห่างไปไกลแล้ว นางกัดริมฝีปากล่างแน่น ดวงหน้าน้อยๆ ขาวซีด
ผู้ที่เข้าร่วมการสอบระดับมณฑลจะต้องได้รับการรับรองและเสนอชื่อจากคนถิ่นเดียวกัน ดังนั้นรุ่งเช้าของวันนี้หลูจื้อถึงไปที่อำเภอชิงหยางพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน และเพราะการขึ้นทะเบียนจำเป็นต้องใช้ทะเบียนราษฎร์ยืนยัน เมื่อคืนอี๋อวี้เลยได้เห็น ‘สมุดทะเบียนเรือน’ ของครอบครัวตนเองเป็นครั้งแรก ในยุคนี้เป็นกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งเรียกว่า ‘ใบเขียนมือ’
ในนั้นบันทึกประวัติของครอบครัวพวกนางสี่คนทั้งวันตกฟากและระบุว่าเป็นชายหรือหญิง มีไร่นาสาโทกี่หมู่ เรือนกว้างกี่ช่วงเสา รวมถึงโยกย้ายรกรากมาขึ้นทะเบียนกับเขตอำเภอชิงหยางนี้เมื่อไร ส่วนชื่อเจ้าของเรือนที่อยู่บนหัวกระดาษย่อมเป็นชื่อของหลูซื่อมารดาของนางแน่นอน ด้านข้างยังมีตราประทับคำว่า ‘หญิง’ เป็นสีแดงเล็กๆ นี่คงจะเป็นการบ่งบอกว่าเป็นเจ้าบ้านหญิง
ผู้คนในยุคนี้จะโยกย้ายทะเบียนไม่จำเป็นต้องให้ที่ว่าการในถิ่นฐานเดิมออกหนังสือรับรองให้ เพียงแค่ลงหลักปักฐานในถิ่นใหม่และซื้อหาที่นา ก็สามารถยื่นเรื่องทำใบเขียนมือแผ่นหนึ่งเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้อยู่อาศัยของที่นั่นได้ ทางราชสำนักมีนโยบายที่ค่อนข้างผ่อนผันต่อสตรี หญิงม่ายที่ครองตนตามลำพังหรือสตรีที่มีอายุล่วงเลยสามสิบแล้วยังไร้คู่ครองล้วนสามารถยื่นเรื่องขอเป็น ‘เจ้าบ้านหญิง’ ได้ อีกทั้งได้รับผ่อนปรนภาษีครึ่งหนึ่งทุกปี