บทที่ 1
เมื่อการประชันศาสตร์รอบเช้าเสร็จสิ้น หลี่ไท่แลมองเบื้องล่างดูอี๋อวี้เดินหนีไปต่อหน้าต่อตา พลางฟังอวี๋ซื่อหนานกับเหล่าอาจารย์ทั้งหลายสนทนากัน แม้นลอบไม่สบอารมณ์อยู่สักหน่อย ทว่ามิได้ตามไปจับตัวนางไว้
เขารู้มาโดยตลอดว่าบางแง่บางมุมในใจหญิงสาวผู้นี้ กระทั่งมารดาก็มีน้ำหนักไม่มากเท่าพี่ชาย ทั้งไม่มีอันใดน่าคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายคนหนึ่ง กระนั้นพอมาเห็นท่าทางที่นางเอ่ยถึงหลูจื้ออย่างภาคภูมิใจปานนั้นยังคงสร้างความระคายใจให้ ถึงชายหนุ่มจะคิดว่าตนสำคัญต่อนางไม่น้อยหน้าหลูจื้อแล้วก็ตาม แต่เขามิได้ต้องการเพียงเท่านี้
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ยินดีกับท่านอวี๋ที่ได้ลูกศิษย์ดี คุณหนูจ่างซุนมีคุณสมบัติเป็นเลิศ…”
หลี่ไท่หมุนกายมา พวกเขาก็เงียบเสียงพูดคุยลง เหตุการณ์วุ่นวายเล็กๆ ข้างล่างเมื่อครู่มิได้ดึงดูดความสนใจคนเหล่านี้ เมื่อเห็นหลี่ไท่จะกลับ ทุกคนลุกขึ้นยืนส่ง อวี๋ซื่อหนานโบกมือให้คนอื่นก่อนตามหลังเขาลงบันไดไปติดๆ เหลือจิ้นฉี่เต๋อกับฉาจี้เหวินอยู่รั้งท้าย ทั้งสองสบตากันแล้วต่างคนต่างลูบเครายิ้มๆ
การประชันศาสตร์เขียนพู่กันในวันพรุ่งนี้นั้นน่าดูน่าชมยิ่ง เพราะจะเป็นการดวลกันระหว่างสำนักไท่เสวียกับสำนักซูเสวีย ฝ่ายหนึ่งเป็นบุตรสาวทายาทสายตรงของสกุลจ่างซุนและศิษย์คนใหม่ของปรมาจารย์ห้าด้านเป็นเลิศ ฝ่ายหนึ่งคือสตรีมากความสามารถหน้าใหม่ของเมืองฉางอันและเป็นว่าที่ชายาเว่ยอ๋อง หนำซ้ำอวี๋ซื่อหนานกับหลี่ไท่จะมาอยู่ในงานทั้งคู่ ฉะนั้นใครแพ้ใครชนะจึงยากจะบอกได้ชัดจริงๆ
หลี่ไท่ออกจากสำนักศึกษาหลวงแล้วกลับไปยังเหยียนคังฟางทันที ราตรีก่อนโจรลักลอบเข้าวังเว่ยอ๋อง แม้ว่าไม่มีของใดสูญหาย และหลี่ไท่ก็มิได้ลงโทษใคร แต่กลอนประตูทิศตะวันตกของเรือนคลังถูกงัดแงะ เป็นเหตุให้พวกองครักษ์ซึ่งมีหน้าที่เฝ้ายามพากันร้อนอกร้อนใจ สองวันมานี้พวกเขาดูตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เดินลาดตระเวนทั่วบริเวณวังทั้งวันทั้งคืน และผลัดเปลี่ยนเวรยามอย่างขันแข็งมากขึ้น
เมื่อวานหลี่ไท่มอบหมายให้อาเซิงไปลั่วหยางเพื่อรับอิ๋นเซียวที่ถูกพาไปเลี้ยงที่นั่นหนึ่งปีกว่า และส่งตัวผิงถงผิงฮุ่ยไปตำบลหลงเฉวียน ดังนั้นภายในหอซูหลิวว่างโหรงเหรงไม่เห็นบ่าวไพร่สักคน หากเปลี่ยนเป็นวังอื่นมีหรือจะปล่อยให้ตกอยู่ในสภาพนี้ แต่หลี่ไท่ก้าวผ่านเข้าประตูคนเดียวแล้วขึ้นไปข้างบนตามลำพัง
เขาเข้าสู่ห้องโอสถที่อี๋อวี้มักขลุกตัวอยู่บ่อยๆ สาวเท้าไปยังข้างตู้ยาสูงใหญ่ กดจุดหนึ่งบนผนังว่างเปล่าหลายที ก่อนจะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น จากนั้นบานประตูเล็กๆ บานหนึ่งก็พลิกเปิดออกบนผนังขาวเกลี้ยง กว้างพอให้คนหนึ่งผ่านเข้าไปได้พอดี…นี่เป็นห้องลับห้องหนึ่งอย่างไร้ข้อสงสัย
อาศัยแสงไฟจากด้านนอกจะเห็นว่าข้างในปราศจากเพชรนิลจินดาใดๆ มีชั้นไม้สลักลายชิดข้างผนังสองตัว วางกล่องต่างๆ ไว้อย่างระเกะระกะ บนพรมลายริ้วที่มีรอยเท้าสีเทาๆ หลายรอยตั้งโต๊ะขาเตี้ยไว้ตรงกลาง และวางเชิงเทียนไม่ได้จุดไฟไว้ ผนังปูไม้สลับลายว่างโหรงเหรงไม่เห็นภาพเขียนพู่กันแขวนไว้แม้แต่ภาพเดียว
หลี่ไท่ยืนอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ตอนมองดูผนังโล่งเตียนสองฝั่ง โดยเฉพาะด้านหนึ่งในนั้น สีหน้าเขาบูดบึ้งเล็กน้อย
“องค์ชาย”
เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหลัง เขาพูดโดยไม่หันหน้าไป “จับตัวได้แล้วหรือ”
“กระหม่อมไร้ความสามารถ ดูเหมือนเสิ่นเจี้ยนถังออกนอกเมืองไปแล้ว ต้องส่งคนไปดักที่จุ้ยเจียงหนานหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็น คนยังอยู่ในเมืองหลวง ตามหาต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาเซิงซึ่งอยู่ไกลถึงลั่วหยางกำลังล่อหลอกท่านจ้าววิหคที่เจ้าอารมณ์มากขึ้นกลับเมืองหลวง ยังไม่รู้เรื่องที่เสิ่นเจี้ยนถังโดนหลี่ไท่ขับไล่ไสส่งเมื่อหลายวันที่แล้วย้อนกลับมาตลบหลังในคืนก่อน ทั้งยังใจกล้าบ้าบิ่นงัดแงะเรือนคลังของวังเว่ยอ๋องจนทั่ว สุดท้ายหยิบ ‘ของหวง’ ของหลี่ไท่ติดมือไปหลายชิ้น เขาไม่อาจรุดกลับมาได้ทันท่วงที เลยไม่มีคนช่วยพูดปรามหลี่ไท่อยู่ข้างๆ ส่งผลให้คนบางคนที่ถูกจับตัวได้ในภายหลังเกือบโดนแล่เนื้อเอาเกลือทาเลยทีเดียว