ตอนอี๋อวี้กลับถึงตำบลหลงเฉวียน เวลาอาหารกลางวันเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน
พวกหลูซื่อกินข้าวกันแล้ว นางกับโจวฮูหยินและหานลี่สามคนนั่งรับแดดอยู่ในลานเล็กของเรือนใหญ่ ส่วนหานสืออวี้ไปที่ใดอีกก็สุดรู้
“กลับมาเร็วปานนี้ กินอาหารแล้วหรือยัง”
เมื่อวานหลูซื่อได้ยินเรื่องหลี่ไท่เป็นผู้ตัดสินการประชันศาสตร์ห้าสำนักจากบุตรสาว ตอนแรกนึกว่าอย่างไรนางก็ต้องกลับมาตอนบ่าย
“ยังเจ้าค่ะ” อี๋อวี้รับม้านั่งทรงจันทร์เสี้ยวหุ้มผ้าสีน้ำเงินที่ผิงฮุ่ยยื่นให้แล้วนั่งลงข้างโต๊ะหิน โจวฮูหยินกับหานลี่อยู่คนละด้านของโต๊ะเดินหมากกันอยู่ ฝีมือของทั้งสองสูสีคู่คี่กัน ด้านหลูซื่อนั่งเย็บเครื่องรางจากผ้าไหมสีแดงอยู่อีกฝั่งหนึ่งได้ยินว่าบุตรสาวยังไม่ได้กินข้าว จึงเอาเข็มเสียบกับจอนผมแล้วเรียกให้เฉินชวีไปเรือนครัวยกของกินออกมา ผิงถงซึ่งเป็นลูกมือของหลูซื่ออยู่ได้ยินคำนี้ก็วางของในมือลงแล้วติดตามไป
“แม่มีข่าวดีจะบอก” หลูซื่อแย้มยิ้มจนรอยตีนกาขึ้น “พวกท่านป้าของเจ้าขนเครื่องเรือนจากเจียงหนานมาถึงกลางทางแล้ว อีกราวสิบวันเศษก็จะมาถึง”
คนของหานลี่เดินทางได้ว่องไว เขาพบกับคนที่มาจากหยางโจวบนถนนหลวงสู่ทิศใต้และส่งข่าวกลับมา ประหนึ่งดั่งโอสถบำรุงใจให้หลูซื่อที่เป็นห่วงว่าสินเจ้าสาวของบุตรสาวจะไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้
ทีแรกอี๋อวี้ดีอกดีใจ ต่อมาก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
หานลี่วางเม็ดหมากดำแล้วรอโจวฮูหยินเดินหมากอยู่ ได้ยินหลูซื่อถามว่านางเป็นอะไรก็ชายตาไปเห็นอี๋อวี้ส่ายหน้าไม่พูดจา เขาเขี่ยเม็ดหมากในโถเล่นๆ พลางกล่าว “นี่คงเสียดายเงินมัดจำหนึ่งพันตำลึงนั่นน่ะสิ”
อี๋อวี้ถูกเขาพูดแทงใจดำ จึงทำเสียงในลำคอเป็นเชิงยอมรับ
หลูซื่อกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เงินก้อนโตกว่านี้ก็ทุ่มลงไปแล้ว แค่นี้จะสักเท่าไรเชียว ถึงอย่างไรกันไว้ดีกว่าแก้”
หานลี่หยิบหมากตายออกพร้อมกับใคร่ครวญสถานการณ์บนกระดานหมาก “คิดละเอียดถ้วนถี่มิใช่เรื่องผิด แต่เจ้าจะแต่งเข้าวังเว่ยอ๋อง อย่าให้ความสำคัญกับพวกเงินเล็กๆ น้อยๆ จนเกินไป หาไม่แล้ววันหน้าเจ้าจะโดนข่มเหงรังแกเอาได้นะ”
โจวฮูหยินวางเม็ดหมากก่อนยื่นมือไปตรงมวยผมของอี๋อวี้จับปิ่นไม้ไผ่เขียวที่เอียงอยู่ให้เข้าที่ สายตาของหญิงชรายังคงทนเห็นข้อบกพร่องไม่ได้สักนิด “มีเวลาก็รับฟังคำผู้อาวุโสให้มากๆ ไม่ผิดแน่”
ครั้งหนึ่งหานลี่เคยเป็นคุณชายตระกูลใหญ่โตมีหน้ามีตาเช่นกัน ขณะที่หลูซื่อนั้นอย่างน้อยๆ ก็เคยดูแลงานบ้านงานเรือนของสกุลฝาง ทั้งคู่จึงแจ่มแจ้งความเป็นไปและเรื่องซุกใต้พรมในครอบครัวสูงศักดิ์เหล่านี้ดี บางครั้งก็ต้องทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง อี๋อวี้ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังมารดาเอ่ยถึงบ้างพยักหน้ากับโจวฮูหยินเป็นเชิงบอกว่าตนเองฟังเข้าหูแล้ว
ยามนั้นเองเฉินชวีกลับมาพร้อมกับบ่าวสองคน ตั้งโต๊ะเตี้ยสี่ขาซ้อนบนโต๊ะหิน และวางกับข้าวร้อนกรุ่นสองอย่างกับข้าวสวยชามหนึ่ง
ยามเที่ยงร้อนอบอ้าว อี๋อวี้กินไม่ค่อยลง พุ้ยข้าวเข้าปากเพียงสองคำก็วางชามลง พอดีผิงถงยกไหดินเผาใบเล็กๆ เข้ามา นางรับมาเปิดออกดูข้างในแล้วประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ด้วยความชอบอกชอบใจ ก่อนจะหันไปกล่าว “ส่งมาเมื่อเช้าหรือ”
สิ่งที่ใส่อยู่ในไหใบนี้มิใช่อื่นใด เป็นผลอิงเถาแดงลูกอวบๆ ผิวเรียบเต่งตึง ปลิดก้านทิ้งแล้วแช่ในน้ำผึ้งชุ่มฉ่ำเป็นมันวาวชวนให้น้ำลายสอทันใด ส่วนว่าผู้ใดเป็นคนส่งมาให้ อี๋อวี้ไม่ต้องคิดไปถึงใครที่ไหนอีก ในการแข่งตีคลีวันนั้นก็พูดว่าหยางเฟยมอบส่วนที่เหลืออยู่สุดท้ายให้เฉิงหยางไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลี่ไท่ไปเอาอิงเถาสดใหม่นี้มาจากที่ใด
“เช้าวันนี้ตอนท่านเพิ่งออกไปเจ้าค่ะ” ผิงถงแย้มยิ้มดุจเดียวกัน นางเอาช้อนเงินด้ามยาวตักให้อีกฝ่ายกิน “บ่าวเห็นว่าอากาศร้อนอย่างนี้ คุณหนูคงไม่อยากอาหาร เลยเอามันแช่เย็นในบ่อน้ำ ยังใส่น้ำผึ้งแบบเดียวกับที่ท่านเชื่อมผลเฉ่าเหมยด้วย จะได้กินให้ชุ่มคอชื่นใจเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้เห็นของโปรดแล้วจะไม่อารมณ์ดีได้เช่นไร นางกินผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่างเอร็ดอร่อย ความขุ่นมัวในจิตใจจากการถูกจ่างซุนซีราวีที่หอจวินจื่อตอนเช้าก็สลายหายวับไป มาตรว่าหนนี้ต้นเหตุจะมาจากความเจ้าเสน่ห์ของหลี่ไท่ แต่นางอดพึงพอใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นไม่ได้
“ไม่เลว ยังเป็นเจ้าที่ช่างเอาใจใส่นัก” พอในใจหญิงสาวเบิกบาน ปากก็กล่าวชมผิงถงสองคำโดยไม่รีรอ นางมิได้สังเกตเห็นว่าเฉินชวีซึ่งอยู่ด้านข้างเก็บอาหารที่นางกินเหลือถึงครึ่งชามด้วยหน้าตาซีดเผือดลง
“ท่านยาย ข้าป้อนให้ท่านชิมนะเจ้าคะ” อี๋อวี้บอกให้ผิงถงหยิบช้อนคันใหม่มาให้ ก่อนจะตักลูกหนึ่งยื่นไปจ่อริมฝีปากโจวฮูหยิน
“เอาเถอะ ผลโคมแดงนี้ให้พวกเจ้าเด็กสาวกินกันก็พอ รสมันหวานเหลือใจ ยายเฒ่าอย่างข้าฟันฟางไม่ดี ไม่ตะกละล่ะ” โจวฮูหยินชิมคำหนึ่งแล้วไม่ยอมกินอีก
อี๋อวี้เคยชินกับความรอบรู้ของโจวฮูหยิน จึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักผลไม้บรรณาการจากแดนสู่จงนี้ นางถือไหไปคะยั้นคะยอป้อนให้มารดากิน หลูซื่อรู้ว่ามันเป็นของที่หลี่ไท่ให้คนส่งมา เห็นบุตรสาวดีใจก็กินสองคำพอเป็นพิธีแล้วไต่ถามเรื่องการแข่งขันในรอบเช้าครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้างว่าแดดแรง ไล่ให้นางกลับไปชำระกายนอนพักก่อน