พื้นดินตรงเชิงบันไดยุบเป็นแอ่งแอ่งหนึ่งมีน้ำฝนขังจนเต็มในเวลาอันสั้น อี๋อวี้ยกชายกระโปรงลองยกเท้าหลายหน คะเนได้ว่าอาศัยความยาวของช่วงขาตนข้ามไป อย่างไรรองเท้าก็ต้องเปียก นางหันซ้ายหันขวามองหาทางอื่นอ้อมไปไม่ได้ จึงทำใจเด็ดตั้งท่าจะเดินข้ามแอ่ง แต่เพิ่งก้าวขาออกไปข้างเดียวก็ถูกคนจับคอเสื้อด้านหลังหิ้วตัวกลับมา
“ตามีไว้ดู มองไม่เห็นแอ่งน้ำรึ”
ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเอื่อยเฉื่อยแกมประชดนี้ อี๋อวี้ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วคลี่ยิ้มพร้อมหันศีรษะไป แต่พอเห็นจ่างซุนซีถือร่มหนังสีเขียวลายดอกอมยิ้มพยักหน้าให้นางอยู่ข้างหลังหลี่ไท่ ความยินดีในอกก็อันตรธานหายไป นางฝืนยิ้มมุมปากทีหนึ่ง เอี้ยวคอให้ตัวหลุดจากฝ่ามือบนคอเสื้อและค้อมศีรษะคารวะ
“ท่านอ๋องเพคะ”
“ฝนตกอยู่ยังเดินเพ่นพ่านทำไม” หลี่ไท่คลายมือจากคอเสื้อหญิงสาว สายตามองกวาดร่างนางแวบหนึ่งก่อนหยุดอยู่ที่รอยเปียกวงเล็กๆ บนหัวไหล่
“เอ่อ…หม่อมฉันจะมาถามอาจารย์ว่าตอนเช้าฝนตกแบบนี้ยังจะแข่งขันกันหรือไม่เพคะ” อี๋อวี้ถอยหลังก้าวสั้นๆ หนึ่งก้าว ไม่ให้น้ำจากขอบร่มกระเซ็นโดนตัวหลี่ไท่ ข้างกายเขามีผู้ดูแลคนหนึ่งยืนชูแขนขึ้นสูงๆ กางร่มให้
วันนี้เว่ยอ๋องผู้สูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมคอกลมสีฟ้าอ่อนสะอาดตา ตามสาบเสื้อและชายแขนเสื้อขลิบริมด้วยด้ายเงิน สายคาดเอวหนังสีเหลืองอมเขียวขับเน้นเรือนกายเพรียวกระชับแข็งแรง ลำพังดวงหน้านั่นก็ทำให้คนละสายตาไม่ได้แล้ว ยิ่งแต่งกายอย่างนี้ยืนอยู่กลางสายฝนขมุกขมัว สรรพสิ่งรอบด้านล้วนกลายเป็นฉากหลัง บันดาลให้เบื้องหน้าสายตามองเห็นแต่คนผู้นี้ แม้แต่จ่างซุนซีผู้โฉมงามล้ำเหลือด้านข้างนั่นยังถูกข่มให้รัศมีหมองลงไปทันตา
“กลับไปรอก่อน” หลี่ไท่กลับไม่ใส่ใจว่าแขนเสื้อจะเปียกฝน ยื่นมือผ่านม่านฝนส่งผ้าเช็ดหน้าแห้งสะอาดผืนหนึ่งให้หญิงสาว หากมิใช่รู้ว่านางหน้าบาง เขาไม่ถือสาที่จะช่วยเช็ดให้ด้วยซ้ำ
“เพคะ” อี๋อวี้อาจทำท่าทางว่าง่ายรับผ้าไว้ และถึงนางรู้ว่าเขาไม่อยากเห็นตนตากฝน ทว่าขณะมองดูเขาสาวเท้าก้าวเดียวก็ข้ามแอ่งน้ำขังนั่นไปได้ และจ่างซุนซีถือร่มเดินย่ำน้ำก้าวสั้นๆ ตามไป พลางเอียงคอพูดคุยกับเขาด้วยรอยยิ้มละไมแล้ว นางยังคงขมวดคิ้วทีหนึ่ง เหตุการณ์พรรค์นี้มิใช่แค่ครั้งสองครั้ง ต่อให้นางใจกว้างปานใด ในใจย่อมต้องไม่สบอารมณ์จนเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
สตรีล้วนมีความรู้สึกเฉียบไว อี๋อวี้รู้เท่าทันลูกไม้ของจ่างซุนซีที่ทำทีวางตัวคล้ายใกล้ชิดคล้ายห่างเหินมานานแล้ว อีกทั้งยังมิได้นึกสนุกอย่างเป็นผู้ชมจริงๆ แต่หลี่ไท่มัวทำอะไรอยู่ ถึงปล่อยให้นางทำตามชอบใจนะ
อี๋อวี้เช็ดน้ำฝนบนหัวไหล่ มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปตรงบันไดแล้วพยายามข่มไฟโทสะไว้ ใบหูของนางกระดิกทีหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงหัวร่อประหลาดๆ ลอยแว่วมาทางท้ายทอยพร้อมด้วยลมหายใจเย็นยะเยือก นางหันหน้าขวับอย่างตกใจ กลับไม่เห็นเงาร่างใดๆ กลางฝน
นางเหลียวมองด้านหลังที่ว่างโหรงเหรงซ้ำๆ แล้วสะกดความงุนงงสงสัยไว้ แต่พอหันศีรษะกลับมาก็ปะทะเข้ากับดวงหน้าเปื้อนยิ้มขยายใหญ่เบื้องหน้าในระยะประชิด ม่านตาของนางหดแคบลง ปากอ้าออกแล้วหุบลงขบกรามแน่นกลืนเสียงร้องอุทานกลับลงลำคอไป
ทั้งสองประจันหน้ากันใต้ร่มคันเดียวกัน ไม่มีคนใดเปล่งเสียงจวบจนเสียงฟ้าคำรามครืนๆ บนท้องฟ้าดังขึ้นทำลายความเงียบชอบกลนี้ลง
“เฮ้อ…นี่เจอข้าแล้วตะลึงไปด้วยความดีใจหรือไร”
ฝ่ามือเปียกชื้นข้างหนึ่งโบกไปโบกมาตรงหน้านางแล้วจะวางแตะข้างแก้ม ทว่าข้อมือถูกยึดไว้ก่อนจึงสัมผัสไม่โดนผิวกายนางแม้แต่น้อย
อี๋อวี้ดึงมือข้างนั้นออก หันหลังเดินกางร่มกลับไปทางเรือนไผ่ด้วยหน้าตาเรียบเฉย ประหนึ่งไม่เคยพบเห็นใครสักคน
“จุๆ เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นนับพันลี้มาหาเจ้าถึงเมืองหลวง เจ้ากลับเย็นชาเพียงนี้ ช่างน่าน้อยใจนัก แล้วสตรีที่อยู่กับเจ้าสี่เมื่อครู่นี้เป็นใครหรือ ข้าเห็นเขากับนางไปด้วยกัน ไยทิ้งเจ้ายืนตามลำพังกลางสายฝน จริงๆ เลย เห็นตอนอยู่ต่างเมืองเขาแสนจะทะนุถนอมปกป้องเจ้า…ที่แท้กลับถึงเมืองหลวงแล้วเป็นแบบนี้นี่เอง รู้แต่แรกข้าจะมาหาเจ้าตั้งนานแล้ว…นี่ เจ้าตัวเล็ก เหตุใดเจ้าไม่เหลียวแลข้า ให้ข้าพูดเองเออเอง น่าเบื่อเหลือหลาย…”
อี๋อวี้ถูกยุดแขนเสื้อไว้จนไม่อาจไม่ชะงักเท้าอยู่หน้าเรือนไผ่ สุดท้ายนางยอมหันไปมองลูกสุนัขตกน้ำข้างกายแวบหนึ่ง
“เหยาอีตี๋ ไฉนเจ้าพูดพล่ามน่ารำคาญอย่างนี้”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 เม.ย. 63