บทที่ 11
ตอนเหยาจื่อชีขี่ลาลงเขาซื้อเกลือกลับมาถึงก็เกือบเป็นเวลาอาหารกลางวันแล้ว เหยาฮ่วงบ่นว่านางสองคำแล้วให้ไปช่วยหลูซื่อทำกับข้าวในห้องครัว ส่วนตนเองยกยาต้มไปที่ห้องเล็กทางปีกตะวันตก หานลี่นั่งบนม้านั่งข้างเตียงเห็นเขาเข้ามาก็หันไปเรียกอี๋อวี้ที่หลับตางีบอยู่
“อวี้เอ๋อร์ตื่นเถอะ ดื่มยาก่อนแล้วนอนครู่หนึ่งค่อยกินอาหาร”
อี๋อวี้ไม่ได้นอนหลับ นางทำเสียงตอบรับในลำคอแล้วลืมตา หานลี่พยุงนางลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงไว้
“เฮ้อ…ดูข้าสิหลงๆ ลืมๆ ถึงกับลืมหยิบกระสายยามา พี่หาน ท่านไปหาต้นหม่อนข้างนอกเด็ดใบหนึ่งล้างให้สะอาดเอามาให้ด้วย”
ดื่มยามาสองสามวันไม่เห็นเหยาฮ่วงเอาใบหม่อนมาเป็นกระสายยา หานลี่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจให้ตนปลีกตัวออกไปแต่ไม่เปิดโปงอีกฝ่าย แค่ว่าตอนก้าวเท้าถึงหน้าประตู เขาหันขวับกลับไปชูนิ้วนิ้วหนึ่งโบกไปมากับอี๋อวี้แล้วเดินไปยิ้มๆ ราวกับจะบอกเตือนอะไรนาง
“ลมแรง ปิดประตูด้วย” เหยาฮ่วงไม่ใส่ใจท่าทางมีลับลมคมในของเขา พอเห็นประตูปิดลงแล้วก็วางชามยาร้อนจนควันฉุยลงบนโต๊ะเตี้ยด้านข้าง ดึงม้านั่งมานั่งติดชิดริมเตียง
“เสี่ยวอวี้เอ๊ย”
“อาเหยา” อี๋อวี้ขานตอบเสียงเบาๆ กระถดตัวเข้าด้านในเตียงโดยไม่ส่อพิรุธ
“อื้อ…” ถึงแม้เหยาฮ่วงพยายามให้สีหน้าตนอ่อนโยนใจดีขึ้น แต่หนวดเครารุงรังทั้งหน้านั่นไม่มีส่วนช่วยใดๆ ดูอย่างไรล้วนไม่แฝงเจตนาดี “เสี่ยวอวี้เอ๊ย ตอนนั้นอาเหยาเคยสอนอะไรๆ เจ้าไปไม่น้อย ต่อให้ไม่ได้ยกน้ำชาโขกศีรษะ เจ้าก็นับเป็นลูกศิษย์ข้าครึ่งตัว หลังจากวันนั้นข้ารีบร้อนจากไปก็แยกกันหลายปี พริบตาเดียวเจ้าจะออกเรือนแล้ว วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก” เขาเริ่มอารัมภบทอย่างสะทกสะท้อนใจก่อนแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“จริงสิ ข้าได้ยินท่านแม่เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้าเก่งกาจมากความสามารถแล้ว ไม่เพียงปั้นยาลูกกลอน ยังจับชีพจรตรวจโรคเป็น นี่คือเจ้าร่ำเรียนจากอาจารย์ในภายหลังหรือ” โทษมิได้ที่เขาจะคาดเดาแบบนี้ ด้วยความเป็นไปในใต้หล้า ไม่ว่าเป็นผู้ช่ำชองจัดเจนในสายบุ๋นหรือบู๊ ถ้าไม่ฝากตัวเป็นศิษย์ อาจารย์คนใดจะสอนวิชาให้อย่างจริงใจ
“สองปีที่ข้าออกท่องสำรวจกับเว่ยอ๋อง ประสบพบเจอเรื่องแปลกคนพิสดารไม่น้อย ข้าเรียนรู้มาจากคนอื่นบ้าง แต่ไม่ได้คารวะเป็นอาจารย์เจ้าค่ะ”
หากพูดว่าเหยาฮ่วงเป็นผู้ชักนำนางก้าวผ่านประตูของศาสตร์แห่งการปรุงยาตอนเป็นเพื่อนบ้านกันหนึ่งเดือน แต่ต่อมาภายหลังช่วงเวลาครึ่งปีในเขาต้าหมั่งล้วนเป็นเซียวถิงถ่ายทอดความรู้ให้อย่างหมดไส้หมดพุง พูดตรงๆ แล้ว เมื่อเปรียบกับเหยาฮ่วง เซียวถิงเป็นเหมือนอาจารย์มากกว่า ทว่าไม่ได้ยกน้ำชาโขกศีรษะดังเหยาฮ่วงพูด พวกนางจึงไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กัน
“อ้อ? เป็นคนจำพวกใดบ้าง เจ้าเล่ามาสิ ดูว่าข้าเคยได้ยินหรือไม่”