บทที่ 16
“นี่ ข้าก็บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าภาพวาดสองภาพนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนเอาไปขายจริงๆ แต่เป็นเจ้าตัวเหม็นอีตี๋นั่นที่หลอกเอาไปจากข้า เจ้าสี่…ท่านสี่…พี่สี่…ปล่อยตัวข้าได้หรือไม่ ส่วนงานเสกสมรสของเจ้า ข้าไม่ไปร่วมวงแล้วตกลงหรือไม่เล่า”
ในรถม้าสภาพของเสิ่นเจี้ยนถังขณะนี้ไม่เหมือนถูกทรมานอะไรจริงๆ เมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาก่อเอาไว้ ผมเผ้าหยักศกรุงรังดังเก่า ชุดสีขาวบนร่างไม่ใคร่สะอาดสะอ้านดังเก่า มีแต่สองมือที่ถูกมัดไว้ข้างหลังบ่งบอกให้รู้ว่าเขาไร้อิสรภาพ
หลี่ไท่ปล่อยให้เขาพูดพล่ามอยู่ด้านข้างตามสบาย เขาแหวกม่านประตูรถม้าเป็นช่องช่องหนึ่ง อาศัยแสงโคมกลางม่านราตรี มองดูหอที่คึกคักพลุกพล่านประหนึ่งตลาด เขาล้วงตลับแปดเหลี่ยมคล้ายเอาไว้ใช้ใส่ขี้ผึ้งหอมจากแขนเสื้อมาบิดเปิด หยิบยาลูกกลอนสีนมแพะเม็ดใหญ่ จากนั้นสบช่องเสิ่นเจี้ยนถังไม่ทันระวังตัว บีบคางเขาให้อ้าปากแล้วยัดมันเข้าไป
“แค่กๆๆ” ต้องกลืนยาเม็ดเขื่องโดยไม่มีน้ำ เสิ่นเจี้ยนถังสำลักจนหน้าตาเหยเก “เจ้า…เจ้าให้ข้ากินอะไร”
“ยาสลายพลัง ไม่กินยาแก้ในสามวัน เจ้าจะกลายเป็นคนพิการ” หลี่ไท่เอียงตลับแปดเหลี่ยมในมือให้เขาเห็นยาลูกกลอนสีดำสนิทอีกเม็ดหนึ่งเหลืออยู่ด้านในที่ใช้แผ่นไม้บางๆ กั้นตรงกลางเป็นสองช่องอย่างชัดเจน “ไม่ว่าเจ้าจะไปขโมยหรือฉกชิง ก็ต้องเอาของกลับมา”
“แหะๆ เจ้าหลอกใครกัน” เสิ่นเจี้ยนถังหัวเราะฝืดๆ ทางหนึ่งไม่เชื่อถือสักเท่าไรว่าหลี่ไท่จะทำกับตนเช่นนี้ ทางหนึ่งก็ลอบเดินพลังตรวจจุดตันเถียนเองอย่างใจคอไม่ดี ชั่วเค่อหนึ่งให้หลัง เขารับรู้ได้รางๆ ถึงบางอย่างเหือดหายไปอย่างผิดปกติ ใบหน้าเขาเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวทันใด เขายังไม่ทันตะคอกใส่หลี่ไท่ก็งอตัวลงอ้าปากกว้างๆ เริ่มโก่งคออาเจียนอย่างตื่นตระหนก พยายามคายเม็ดยาที่กลืนลงไปออกมา แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าวิธีการนี้ไม่เป็นผลนัก เขาไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน กระทั่งน้ำย่อยในกระเพาะที่ชวนให้คลื่นเหียนได้ก็ยังไม่มี
หลี่ไท่เก็บตลับยากลับเข้าแขนเสื้อ จับสาบเสื้อให้เข้าที่แล้วแหวกม่านประตูออกเดินไปทางแสงโคมจุดนั้น
ภาพวาดสองภาพนั่น เขาจะจ่ายราคาสูงซื้อกลับมาในคืนนี้ก็ย่อมได้ ทว่าเขาปราศจากความคิดจะทำเช่นนั้น ข้อแรกสิ่งของเป็นของของเขาแต่เดิม และเขาไม่ใช่พวกยอมสิ้นเปลืองเงินทองอย่างเสียเปล่า ข้อสองเขาเห็นว่าเสิ่นเจี้ยนถังซึ่งอยู่อย่างสบายเกินไปจำเป็นต้องได้รับการเตือนความจำสักครั้ง จะได้จดจำว่าเขาเป็นคนแบบใด
ขณะอี๋อวี้ถือชามไก่ตุ๋นเห็ดหูหนูขาวบำรุงร่างกายที่ไม่ค่อยมันชามหนึ่งด้วยสองมือ การประมูลในค่ำคืนนี้ของหอขุยซิงก็เปิดฉากขึ้นอย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะภาพคืนจันทราบุปผาธาราวสันต์สองภาพนั้น
คืนนี้เรียกได้ว่าผู้คนในหอขุยซิงคับคั่งล้นหลาม ทั้งกลางโถงใหญ่และใต้เฉลียงล้วนไม่เหลือที่นั่งว่าง แขกแทบจะทุกคนล้วนมาเพื่อสองภาพนี้ ต่อให้ซื้อไม่ได้ ขอแค่ได้เห็นเป็นบุญตาก็พอใจ ในบรรดานี้คนที่มาร่วมความครึกครื้นก็มีมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
เหล่าองค์ชายที่เข้าเมืองหลวงตอนเทศกาลท่องวสันต์เดือนสามต่างกลับสู่อาณาเขตของตน หาไม่แล้วงานในวันนี้ต้องคึกคักดุเดือดกว่านี้อีกหลายส่วน
ทันทีที่หลี่ไท่กับตู้รั่วจิ่นมาถึงก็กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของผู้คน และหนีไม่พ้นที่จะมีคนเข้าไปเลียบเคียงถามว่าสองภาพนั้นตกอยู่ในมือของหอขุยซิงได้เช่นใด แต่หลี่ไท่ปิดปากสนิท ด้านตู้รั่วจิ่นก็บ่ายเบี่ยงเฉไฉ ท้ายที่สุดไม่มีใครได้รู้เงื่อนงำใดๆ แม้แต่น้อย
เพราะเป็นปลายเดือน หอขุยซิงรับรองลูกค้าสตรีซึ่งมีอยู่ราวสามในสิบตามโต๊ะ บ้างนั่งอยู่ในโถงใหญ่กับสามีหรือพี่ชายน้องชาย บ้างนั่งอยู่ใต้เฉลียงติดม่านโปร่งบางล้อมรอบ จ่างซุนซีก็เป็นหนึ่งในนั้น
“คุณหนู ใต้เท้าตู้มาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เลิกม่านขึ้น ร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งก้าวเข้าไป แขกด้านนอกบางคนสบช่องแลลอดรอยแยกเข้าไป มาตรว่าแสงโคมใต้เฉลียงสลัวราง แต่เงาร่างสะคราญโฉมหลังม่านที่เห็นในชั่วพริบตานั่นยังคงทำให้ผู้คนตาค้างได้