บัดนี้จ่างซุนซีเจริญวัยเป็นหญิงงามทรงเสน่ห์ยิ่งขึ้น และมิได้ไปสำนักศึกษาหลวงบ่อยๆ แล้ว ดังเช่นคำกลอนชาวบ้านที่แพร่กระจายในหมู่ชาวเมืองหลวงที่ว่า ‘แม่นางซีงามแจ่มแจ้งหลบลี้หน้า’ คนนอกอยากยลโฉมคุณหนูสามสกุลจ่างซุนผู้นี้ คงได้แต่ฝันกลางวันโดยแท้
“พี่จิ่น ไม่พบกันนาน สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่เจ้าคะ” จ่างซุนซีลุกขึ้นยืนเข่า สองมือถือประคองกาเงินพลางคลี่ยิ้มหวานให้ผู้มาเยือน แววชื่นชมผุดขึ้นในดวงตานาง คืนนี้ตู้รั่วจิ่นสวมเสื้อผ่าหน้าสีน้ำเงินสด เกี้ยวครอบผมห้อยหยกใสฉลุลายดอกกระจับ รัดสายคาดเอวตะขอเงิน สุภาพนุ่มนวลเช่นปกติทว่าดูหล่อเหลากระจ่างตามากขึ้นหลายส่วน นางคิดเสมอว่าในเมืองหลวงนี้นอกจากหลี่ไท่ หากยังมีใครที่สวมชุดสีน้ำเงินได้ ก็ต้องยกให้คนตรงหน้าผู้นี้แล้ว
“ดีพอใช้ แค่ไอเวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝน” ตู้รั่วจิ่นแหวกชายเสื้อไปด้านข้างแล้วนั่งลงฝั่งหนึ่งของนาง รับจอกสุราที่นางยื่นให้พร้อมเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะถามขึ้น “ไฉนเจ้ามาตามลำพัง ถ้าข้าไม่มา เจ้ามิต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวหรือไร”
“นี่ท่านก็มาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ” จ่างซุนซีส่ายหน้าอย่างจนใจ “ยามนี้ชื่อเสียงของพี่ใหญ่ข้าเสื่อมเสียไม่เหลือชิ้นดีจนท่านลุงเกาออกปากแล้ว นางจำต้องเก็บตัวไม่ย่างเท้าออกจากเรือน แล้วยังจะมาพร้อมกับข้าได้หรือไร”
ตู้รั่วจิ่นย่อมรู้เรื่องที่จ่างซุนเสียนก่อกวนพิธีปักปิ่นของอี๋อวี้ เขาดื่มน้ำเมรัยไปครึ่งจอพลางเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดาย “นางเป็นคนทิฐิแรงเกินไป ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นตกอยู่ในสภาพนี้”
จ่างซุนซีจับความนัยในถ้อยคำชายหนุ่มได้ว่า ‘นี่เป็นกรรมตามสนองจ่างซุนเสียนเองได้’ ทว่าไร้ท่าทีเข้าข้าง กลับครุ่นคิดถึงหนึ่งในสองภาพวาดที่จะประมูลขายในราตรีนี้แล้วมั่นใจการคาดเดาของตนยิ่งขึ้น นางยกการินสุราเติมในจอกเขาจนเต็ม กล่าวอย่างทอดถอนใจ
“พี่ใหญ่ข้าเป็นคนถือตัวและหยิ่งทะนงเกินไป ไม่คิดว่าคุณหนูหลูผู้นั้นมิใช่คนอ่อนแอตาขาว ทั้งมีพี่สี่หนุนหลังอยู่ มีหรือจะเกรงอกเกรงใจนาง กระนั้นคุณหนูหลูก็ใจร้ายเกินไปสักหน่อย ถึงอย่างไรเป็นพี่ชายนางเอาชีวิตพี่รองข้าก่อน…”
นางพูดไม่จบความ น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือจนต้องหยุดลง ก้มศีรษะนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม เสี้ยวหน้าด้านข้างคล้ายฉาบรอยเศร้าหมองแกมคับแค้น คล้ายอยากโกรธเกรี้ยวแต่อดกลั้นไว้ ไม่ว่าสีหน้าแบบใดล้วนอยู่ในท่วงท่างดงามอย่างที่ใครเห็นก็ต่างบังเกิดความสงสารเห็นใจทั้งสิ้น เปรียบได้ดั่งดอกไห่ถังหุบลู่ลง ทำให้คนอดใจไม่อยู่อยากยื่นมือไปช่วยมันคลี่กลีบออก แต่ก็กลัวจะทำลายศักดิ์ศรีของนาง
ตู้รั่วจิ่นมองนางแล้วเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง พอหลุดจากภวังค์ เขายกจอกสุราดื่มคำใหญ่จนหมดแล้วหยิบกาสุรามารินเองจอกแล้วจอกเล่า น้ำสุราซึมจากมุมปากเล็กน้อยไหลระเรื่อยลงมาตามลำคอขับเน้นให้มันดูเรียวยาวยิ่งขึ้น สาวใช้ข้างโต๊ะลอบชายตามองเขาแล้วเบือนหน้าไปอีกทางอย่างเอียงอาย
จ่างซุนซีปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันมาเห็นเขาโหมดื่มสุราก็หมายจะเข้าไปห้ามปราม แต่เขายกมือขวางไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “เจ้าไม่รู้ บางคนตายไปยังดีกว่าบางคนที่มีชีวิตอยู่ เจ้าไม่รู้…”
“ท่านพูดอะไรอยู่เจ้าคะ” จ่างซุนซีจับความไม่ถนัด เขากลับไม่ยอมพูดซ้ำอีกรอบ เพียงโบกไม้โบกมือ หันเหหัวข้อสนทนา
“ซีเอ๋อร์ มีคำพูดหนึ่งเดิมข้าไม่สมควรกล่าว แต่ข้าต้องการบอกเจ้าอยู่ดี…หมู่นี้เจ้าใกล้ชิดกับเว่ยอ๋องเกินไปใช่หรือไม่”
“เอ๊ะ?” จ่างซุนซีคาดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน นางเม้มปากยิ้มพร้อมเอ่ย “อันใดเรียกว่าใกล้ชิดเกินไปเจ้าคะ ข้ากับเขาเป็นเพื่อนเล่นกันแต่วัยเยาว์ เป็นมิตรภาพที่ต่างจากคนทั่วไป หรือว่าแค่เพราะเขาใกล้จะแต่งงาน แค่เพราะเขาจะรับคุณหนูสกุลหลูนั่นเป็นชายา ข้าก็ต้องตัดไมตรีกับเขาหรือไร ถ้าพูดอย่างนี้ วันหน้าพี่จิ่นตกแต่งภรรยา ข้าก็มิต้องแยแสท่านอีกหรือเจ้าคะ”
“เขาไม่เหมือนกับข้า” ตู้รั่วจิ่นมองนางอย่างจริงจัง เอ่ยพูดเตือนเสียงนุ่ม “จะวัยเยาว์หรือวัยแรกรุ่นล้วนล่วงเลยไปแล้ว ขณะนี้เขาเตรียมจะแต่งชายา ส่วนเจ้ายังไม่ออกเรือน ถ้าเกิดมีข่าวลือแพร่ออกไป จะเป็นเจ้าที่เสียเปรียบ ซีเอ๋อร์ ข้าถือได้ว่าเห็นเจ้ามาแต่เล็กจนโต ในใจเจ้าคิดอะไร ข้าพอจะรู้อยู่บ้าง ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พึงตัดต้องตัดจึงเป็นทางที่ดีที่สุด”
จ่างซุนซีตระหนกในใจ แต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางเบือนหน้ามองผู้ดำเนินการประมูลที่กำลังถือเครื่องหยกชิ้นหนึ่งพูดคุยหยอกล้ออยู่ตรงแท่นวางแสดงอาบไล้ด้วยแสงไฟสีแดง พลางกล่าวขึ้น “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าเชิญท่านมาเพราะมีเรื่องหนึ่งสนใจใคร่รู้อยากถาม คืนนี้ที่นี่จะประมูลขายภาพวาดของท่าน เป็นของแท้หรือเปล่าเจ้าคะ”