ตู้รั่วจิ่นอาจตอบคนอื่นอย่างขอไปที แต่เขาไม่หลอกลวงนาง จึงพยักหน้ายอมรับ
“เป็นอย่างนี้จริงๆ” จ่างซุนซีเอ่ยอย่างกังขา “บนภาพมีคำกลอนของคุณหนูหลูหรือไม่ ข้าคิดทบทวนไปมา จำได้ว่าหลายปีก่อนในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเกาหยาง ท่านกับคุณหนูหลูเคยวาดภาพแต่งกลอนร่วมกันคราหนึ่ง ก็คือภาพนั้นหรือเจ้าคะ แต่มีคนบอกอีกว่านี่เป็นภาพที่ท่านชนะเลิศในงานเลี้ยงมหาบัณฑิต หรือภาพวาดนี้มีสองภาพ แล้วที่ประมูลขายในคืนนี้เป็นภาพใด”
ตู้รั่วจิ่นละล้าละลังก่อนกล่าวตอบ “น่าจะเป็นภาพในงานเลี้ยงมหาบัณฑิต”
ได้ยินวาจานี้ นัยน์ตาของจ่างซุนซีทอประกายคมกร้าววูบหนึ่ง นางพูดขึ้นอีกราวกับไม่เจตนา “เป็นข้าความรู้สึกช้าเอง หลายปีมานี้กลับไม่รู้เลยว่าคุณหนูหลูกับท่านมีสัมพันธ์อันดีต่อกันเมื่อใด ยังตั้งใจแต่งคำกลอนให้ภาพในงานเลี้ยงของท่าน”
ตู้รั่วจิ่นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่ง “อย่าพูดส่งเดช ข้ากับคุณหนูหลูเพียงรู้จักกันผิวเผิน”
เรื่องหลูจื้ออาศัยตู้หรูฮุ่ยเข้าไปเล่าเรียนในสำนักศึกษาหลวงครานั้นมีคนล่วงรู้น้อยนิด เมื่อกาลเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนไป ก็ยิ่งไม่มีคนแจ่มแจ้งเรื่องนี้ ดังนั้นเขากับพี่น้องสกุลหลูเกี่ยวข้องกันอย่างไรจึงไม่มีคนล่วงรู้เช่นกัน
“ท่านตกใจอะไร ข้ามิได้พูดว่าท่านกับนางเป็นอะไรกันเสียหน่อย” จ่างซุนซียกจอกสุราขึ้นบังสีหน้าไว้ สุ้มเสียงพลันอ่อนนุ่มลง “เช่นนี้ดูไปแล้ว ภาพวาดนี้ของหอขุยซิงต้องไม่ได้หลุดรอดมาจากมือท่านเป็นแน่ แล้วท่านตั้งใจจะซื้อคืนหรือไม่”
“ไม่” ตู้รั่วจิ่นส่ายหน้าพลางกล่าว จ่างซุนซีทำสายตาประหลาดใจ “ตอนนั้นข้าได้มอบภาพนี้ให้ผู้อื่นไปแล้ว มันไม่ใช่สิ่งของของข้าอีกสืบไป” เขายิ้มเยาะตนเอง “ยิ่งกว่านั้นวันนี้ข้านำเงินติดตัวมาเพียงร้อยตำลึง เกรงว่าคงไม่พอกระทั่งเสี้ยวหนึ่งของภาพ”
ยกเงินทองเป็นคำอ้าง คงกลัวว่าซื้อคืนไปด้วยราคาสูงจะส่งผลให้หลูอี๋อวี้ถูกติฉินนินทากระมัง
จ่างซุนซีลอบค่อนขอด “ในเมื่อไม่ซื้อ ท่านก็นั่งชมความครึกครื้นเป็นเพื่อนข้าแล้วกันนะเจ้าคะ”
สิ้นเสียงนาง ได้ยินเสียงอึงคะนึงดังขึ้นในโถง นางชายตามองไป เห็นคนนำม้วนภาพวาดสองภาพขึ้นแขวนบนแท่นตั้งชมแล้วเหยียดมุมปากขึ้น พลางวางมือซ้ายบนหีบใบเล็กทำจากไม้ท้อข้างกาย
เมื่อภาพวาดทั้งสองถูกแขวนขึ้น มีลูกค้าลุกจากที่นั่งไปชมดู ผ่านไปหนึ่งเค่อเต็ม ผู้ดูแลของหอขุยซิงถึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบอย่างสุภาพ เขาไม่ได้กล่าวอารัมภบทนานนักก็ตรงเข้าเรื่องเลย โดยบอกราคาของภาพ ‘คืนจันทราบุปผาธาราวสันต์’ ของตู้รั่วจิ่นตั้งต้นที่หนึ่งพันตำลึงและเริ่มแข่งประมูล ตู้รั่วจิ่นนั้นเป็นยอดฝีมือในหมู่นักวาดภาพ แต่ในช่วงสองปีนี้มีผลงานออกมาแค่สามสี่ภาพ มูลค่าย่อมต้องสูงเป็นธรรมดา
“สามพันตำลึง!”
ทีเดียวก็สูงขึ้นสามเท่า ผู้ส่งเสียงเป็นสตรีสวมผ้าคลุมหน้านั่งอยู่กลางกลุ่มลูกค้าสตรีโต๊ะหนึ่ง ดูทีว่าจะเป็นผู้ชื่นชมเลื่อมใสต่อท่านไหลกั๋วกงหนุ่มแน่น
“สามพันสองร้อยตำลึง!”
“สามพันสี่ร้อยตำลึง!”
“สามพันห้าร้อย!”
เสียงร้องบอกดังขึ้นเป็นทอดๆ ในบรรดานั้นมีสตรีอย่างขาดเสียไม่ได้ ยังมีขุนน้ำขุนนางพุงพลุ้ย ตลอดจนผู้ฝึกยุทธ์เรือนกายล่ำสันบึกบึนปะปนกันไป เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชาราคาก็พุ่งขึ้นเป็นสี่เท่า เงินสิบตำลึงที่พอให้ชาวบ้านทั่วไปใช้ได้ทั้งปี ในมุมหนึ่งอันฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่ายของเมืองฉางอันนี้กลับเป็นเช่นเศษเงินหยิบมือเดียว กระนั้นมันยังไม่ยุติลงเท่านี้
“ห้าพันตำลึง!”