ที่นั่งใต้เฉลียงมุมหนึ่งม้วนม่านขึ้น ด้านในมีเด็กสาวสวมชุดต่างเผ่าสองคนคอยยกสุราหยิบผลไม้ และสตรีโฉมงามเฉิดฉายมุ่นมวยโบตั๋นนางหนึ่ง ผู้ที่วนเวียนอยู่ในเมืองหลวงเป็นประจำส่วนใหญ่ต้องรู้จักหญิงม่ายกิตติศัพท์ฉาวโฉ่และยากจะตอแยผู้นี้ พลันนั้นเสียงร้องบอกราคาเงียบหายไปกว่าครึ่ง แต่ยังมีคนส่งเสียงขึ้นอย่างสกัดไม่อยู่
“ห้าพันห้าร้อยตำลึง” นี่คือสตรีสวมผ้าคลุมหน้าคนเดิม
“หกพันตำลึง” หญิงม่ายโฉมงามเฉิดฉายปรายตามองดูถูกแล้วไม่ลดราวาศอกสักนิด
“หกพันห้าร้อยตำลึง” สตรีคลุมหน้าชูจอกสุราคารวะนางอย่างเสแสร้ง
“เจ็ดพันตำลึง” หญิงม่ายโฉมงามแทบจะร้องบอกจำนวนเงินนี้ลอดไรฟัน ทุกคนในที่นั้นมองออกว่าพวกนางกำลังเอาชนะคะคานกันอยู่ ทั้งได้ยินราคาสูงลิบลิ่วนี้ ชั่วขณะเดียวถึงกับไม่มีใครสอดแทรกอีก
“เจ็ดพันห้าร้อยตำลึง”
สตรีคลุมหน้าบอกเพิ่มอีกห้าร้อย ใบหน้าของหญิงม่ายโฉมงามฉายอารมณ์แปรปรวนระลอกหนึ่ง ก่อนชูจอกสุราคารวะตอบ นางแค่นเสียงกล่าว “แปดพันตำลึง แม่นางท่านนี้ให้เกียรติข้าสักหนเถอะ”
“คิกๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้น สตรีคลุมหน้าก็ตอบรับเสียงกังวาน “ตกลง ให้เกียรติพี่สาวสักหนแล้วกัน”
ผู้ดำเนินการประมูลตรงแท่นวางแสดงของก็เจนจัดมากประสบการณ์ มองออกแล้วว่าสตรีคลุมหน้าจงใจปั่นราคา แต่เขารู้คติที่ว่ารามือแต่พอดี ไม่กระตุ้นยั่วยุแขกต่อ เขาตั้งท่าจะตีระฆังจบการประมูลของชิ้นนี้ ไหนเลยจะคาดคิดว่าเสียงสตรีนางหนึ่งจะดังขึ้นกลางโถงใหญ่ที่อึกทึกวุ่นวายแห่งนี้กะทันหัน
“หนึ่งหมื่นตำลึง ภาพนี้เป็นของข้า”
เหล่าลูกค้ามองไปตามต้นเสียง เห็นม่านคลุมโปร่งบางหน้าโต๊ะที่นั่งหนึ่งที่มีโคมสีเหลืองห้อยอยู่ถูกแหวกออกด้านข้าง เผยเงาร่างสองสายออกมา จนเมื่อเห็นรูปโฉมของทั้งคู่ชัดเจน ทุกคนในงานเงียบเสียงลง ได้ยินเสียงหัวเราะเสนาะหูของสตรีจากโต๊ะนั้น
“ทุกท่านโปรดเปิดทางให้ข้าด้วย ให้ภาพภาพนี้ได้หวนคืนสู่เจ้าของเถอะ” ว่าแล้วก็ผินหน้าไปเอ่ยกับบุรุษข้างกาย “มิให้ยามท่านดื่มเหล้าดับทุกข์ไม่มีแม้แต่สิ่งปลอบประโลมใจ”
นางเพิ่งกล่าวจบ แขกที่นั่งอยู่มีคนจับความนัยที่แฝงอยู่ออกแล้ว พอมองบุรุษใต้ม่านคลุมท่าทางเมาสุราสีหน้าทุกข์ระทมยากปิดบังซ้ำอีกที ก็พากันชำเลืองไปมองภาพคืนจันทราบุปผาธาราวสันต์ที่แขวนอยู่ นึกถึงเงาร่างหญิงงามเลือนรางในภาพ นึกถึงตัวอักษรบรรจงเล็กสละสลวย ต่างคนต่างได้คำอธิบายในใจแล้ว ทุกคนหมุนตัวขวับมองไปทางที่นั่งของหลี่ไท่ใต้เฉลียงอีกมุมหนึ่ง ทว่าม่านบังสายตาไว้ไม่อาจจับสีหน้าเขาได้ จึงตีความเรื่องนี้ไปกันเองทันใด ซ้ำมีบางคนยังหน้าแดงอย่างตื่นเต้นเพราะข่าวซุบซิบนี้
กระทั่งหญิงม่ายโฉมงามที่เปิดศึกชิงประมูลก่อนหน้าก็ไม่ส่งเสียงบอกราคาเพิ่มอีก นางมองไปทางที่นั่งหลายจุดสลับไปมาด้วยหน้าตาสนอกสนใจ ผู้ดำเนินการประมูลเห็นว่าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ หนึ่งหมื่นตำลึงถือเป็นราคาสูงมากแล้ว เขาจึงยกค้อนตีระฆังทองแดงบนที่แขวนเป็นสัญญาว่าจบการซื้อขาย
ตู้รั่วจิ่นได้แต่มองจ่างซุนซีที่ส่งยิ้มพริ้มพรายให้ตนตาปริบๆ ในใจเขาตะลึงพรึงเพริดไปหมด เพียงรู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างแปลกหน้าเหลือแสน นางไม่ใช่เด็กสาวคนที่กอดแขนพี่สาวคนโตอย่างออดอ้อนในอดีตอีกต่อไป
จ่างซุนซีเห็นหน้าเขาแล้วความสงสารผุดขึ้นรางๆ แล้วก็หายไปในพริบตา นางหยิบหีบไม้ท้อใส่ตั๋วเงินปึกหนึ่งส่งให้สาวใช้ บอกให้ไปรับภาพวาดมา
“พี่จิ่น” พอรับกล่องภาพวาดที่สาวใช้ยื่นให้อย่างระมัดระวัง จ่างซุนซีส่งต่อให้ตู้รั่วจิ่นท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองอยู่ของผู้คน นางรู้ว่าในสถานการณ์ที่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งอย่างนี้ ด้วยอุปนิสัยของเขาต้องไม่พูดอธิบายในเวลานี้เด็ดขาด นางกล่าวด้วยวาจานุ่มนวลโดยไม่กลัวถูกเปิดโปง
“ท่านรับไว้ก่อน ภาพนี้ไร้ความผิดนะเจ้าคะ”
ตู้รั่วจิ่นหนาวสะท้านในอก เขาเพ่งดูนางนิ่งๆ เหมือนต้องการมองคนคนนี้ให้ปรุโปร่ง จากนั้นยกมือแตะกล่องภาพวาด หลับตาลงถอนใจแผ่วๆ แล้วผลักมันออก “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ”
กล่าวจบเขาไม่มองนางอีกสักแวบเดียว วางจอกสุราลงแล้วลุกออกไปข้างนอกโดยไม่แยแสสายตาผู้ใด ตอนก้าวเท้าผ่านโต๊ะของหลี่ไท่ เขาค้อมกายคำนับแล้วเดินจากไปไกล
ติดตามตอนต่อไป