นางกล่าวจบก็เห็นสตรีคลุมหน้ายกมือสอดเข้าอกเสื้อ ล้วงม้วนบันทึกขาดวิ่นเล่มเล็กๆ ออกมาวางริมโต๊ะ และกล่าวเสียงเนิบ “นี่เป็นเงินมัดจำ ท่านเรียกคนตรวจดูว่าเป็นของจริงของปลอมก่อนได้”
ฉู่ปู้หลิววางพัดลงแล้วหยิบมันขึ้นดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางเพิ่งพลิกเปิดสองหน้า สองตาก็ทอแววตื่นตะลึงแล้วกลายเป็นแข็งกร้าว แต่กลับไต่ถามด้วยหน้าตาเยือกเย็น “ไม่ทราบว่าแม่นางจะขอให้ทำงานใด”
“เถ้าแก่เนี้ยฉู่เป็นคนฉลาดดังคาด รู้ว่าที่ข้าขอเป็นงาน หาใช่สิ่งของ” สตรีคลุมหน้าแกว่งถ้วยชาในมือ ก่อนจะเบือนหน้าไปสบสายตาหยั่งเชิงของนาง “ความครึกครื้นของงานในคืนนี้ เถ้าแก่เนี้ยฉู่ก็เห็นแล้ว อาศัยที่หอขุยซิงรับรองลูกค้านับพันทุกวัน เรื่องที่ข้าขอทำไม่ยาก…แค่ให้ท่านเอาเรื่องใต้เท้าตู้ไถ่ภาพไปด้วยราคาสูงลิบโหมกระพือให้ใหญ่โต”
“…แต่ภาพนั้นดูเหมือนเป็นคุณหนูสกุลจ่างซุนควักเงินซื้อไป”
“ใช่หรือไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกท่านจะแพร่ข่าวเช่นไรแล้ว”
ฉู่ปู้หลิวหยิบม้วนบันทึกเล่มเล็กขึ้น หมุนกายออกเดินไปหลายก้าว เอ่ยทั้งที่หันหลังให้นาง “นี่…นี่คงต้องล่วงเกินคนบางคนแล้ว”
“ข้าเชื่อว่าเถ้าแก่เนี้ยฉู่จะได้ทำได้อย่างหมดจด เหนืออื่นใดในเมืองฉางอันนี้ไม่ขาดแคลนเสียงเล่าลือนินทามากที่สุด ใครกันจะสาวมาถึงตัวท่าน”
“ไม่ทราบว่าแม่นางหมางใจกับเว่ยอ๋องหรือว่าคุณหนูสกุลหลู”
“ไม่จำเป็นต้องซักถาม อะไรๆ ที่ไม่พึงกล่าว ข้าจะไม่บอกมากไปสักคำ ท่านก็พูดเองว่าพวกเรามิใช่คบหาเป็นสหายกัน เพียงตอบข้ามาว่าการค้านี้ท่านจะทำหรือไม่” สตรีคลุมหน้าหมดความอดทน วางถ้วยชาลงบนโต๊ะด้วยน้ำหนักมือไม่หนักไม่เบาแล้วลุกขึ้นยืน
ฉู่ปู้หลิวก้มหน้ามองม้วนบันทึกในมือ ฟังเสียงฝีเท้าเดินย่ำไปมาด้านหลัง นางขมวดคิ้วทีหนึ่ง “ตกลง ท่านให้เวลาข้าสองวันตรวจดูว่าของจริงของปลอม ถ้าเป็นของแท้ การค้านี้ข้าก็รับ”
“อย่าหาว่าข้าไม่เตือนไว้ก่อนนะ บันทึกยาลูกกลอนของเหล่าจวินเล่มนี้เป็นตำราแท้ของราชาโอสถแซ่ซุน หากหอขุยซิงคัดลอกไปโดยไม่ทำงาน อาศัยความสามารถข้า ต้องให้พวกท่านชดใช้คืนเป็นสิบเท่าแน่”
ยังยืนอยู่อาณาเขตผู้อื่นก็กล้าพูดจาวางโตเช่นนี้ กระนั้นท่าทางปราศจากความกริ่งเกรงของสตรีคลุมหน้ากลับทำให้ฉู่ปู้หลิวไม่กล้าชะล่าใจมากขึ้น นางปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันศีรษะไปคลี่ยิ้มอ่อนหวาน
“แม่นางวางใจได้ หอขุยซิงเราทำงานโดยยึดความน่าเชื่อถือเป็นที่ตั้งเสมอมา”
“เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้ายังมีธุระ ไม่รั้งอยู่ต่อแล้ว ขออำลาก่อน”
ฉู่ปู้หลิวมองตามร่างที่เอามือไพล่หลังหายลับไปด้านหลังฉากกั้น รอยยิ้มบนหน้าถึงเลือนหายไป นางเอ่ยเสียงเย็นอย่างเคร่งขรึม “ตามนางไป ดูสิว่าเป็นพวกไหนกันแน่ ถึงกับรู้ว่าพวกเราสะสมตำรับยาลูกกลอนอยู่”
“ขอรับ”
เงาร่างสายหนึ่งพลิ้วกายจากหลังม่านติดตามสตรีคลุมหน้าไป ฉู่ปู้หลิวเดินไปข้างโต๊ะรินน้ำชาถ้วยหนึ่งดื่ม นางเอาม้วนบันทึกเก่าขาดเล่มนั้นซุกเข้าอกเสื้อ จากนั้นขึ้นไปชั้นบนสุดอย่างรีบเร่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
อีกด้านหนึ่ง สตรีคลุมหน้าผู้นั้นก้าวออกจากหอขุยซิงแล้วผ่อนฝีเท้าลง เริ่มเดินเตร่ไปตามตรอกซอกซอยของถนนสายตะวันตก ยามนี้ม่านรัตติกาลคลี่คลุมลง รถม้าแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนถนนหนทางบางตา สตรีนางนั้นกลับไม่หวาดกลัว
คนสองคนที่ฉู่ปู้หลิวส่งตัวมาสะกดรอยตามคุ้นเคยกับงานนี้ดี จึงรู้ว่านางรู้ตัวแล้วแต่ไม่จากไป ยังคงติดตามนางเดินวกวนสะเปะสะปะดุจแมลงวันไร้หัวไปเรื่อยๆ จนเริ่มใจเย็นลงทีละน้อย จวบจนจู่ๆ นางก็เลี้ยวเข้าตรอกลึกสายหนึ่งถึงตามไปอย่างเร่งร้อน แต่ไม่เห็นวี่แววแล้ว
“น่าชังนัก!” ทั้งสองค้นตรอกสายนั้นแทบทุกซอกมุมก็หาตัวคนไม่เจอ พวกเขาบริภาษเสียงต่ำคำหนึ่งแล้วกลับไปรายงาน ไหนเลยจะรู้ว่าภายในตรอกมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วมือตนเองนี้ บนต้นไม้เก่าแก่ข้างกำแพงเรือนใครสักคน เป้าหมายที่พวกเขาสะกดรอยตามจะถูกตะครุบตัวไปแล้ว