หลังหยุดดื่มยาของเหยาฮ่วง อี๋อวี้กลับมานอนหลับได้สั้นๆ ในยามราตรีดังเก่า เสียงลมพัดยอดหญ้าไหวเพียงนิดก็ทำให้นางหลับไม่สนิทได้ ยามลืมตาขึ้นเห็นหลี่ไท่นั่งอยู่ข้างเตียง นางตั้งสติได้แล้วชันกายลุกขึ้นนั่ง เหลือบมองเทียนไหม้ไปเกินครึ่งตรงหัวเตียงก็รู้ว่าดึกดื่นมากแล้ว
“ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
พูดจบนางเห็นเขาเอาแต่มองตนเองไม่พูดไม่จา เมื่อได้กลิ่นเหล้าคลุ้งจากตัวเขา นางก็ย่นจมูกเอ่ยอย่างห่วงใย “เมาสุราหรือเจ้าคะ”
หลี่ไท่ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าตนไม่เมา แต่อี๋อวี้เห็นสภาพเขาแล้วไม่ต่างจากเมามายสักเท่าไร ครั้นคิดคำนึงว่าปกติเขามักจิบดื่มพอหอมปากหอมคอ น้อยครั้งนักจะดื่มหนัก ท่าทางอย่างนี้กลับคล้ายมีเรื่องกลัดกลุ้ม นางจึงทอดเสียงอ่อนลง
“พรุ่งนี้เช้าท่านยังต้องไปสำนักอักษร เรียกให้คนต้มน้ำกับน้ำแกงสร่างเมา ชำระกายเสร็จค่อยดื่มแล้วเข้านอน ตื่นเช้าจะได้ไม่ปวดศีรษะ”
นับแต่หลี่ไท่เป็นเด็กหนุ่ม ไม่มีผู้ใดที่ไหนกล้ายุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเขา ต่อให้เป็นเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวันก็แล้วแต่ความพอใจของเขา ไม่มีคนกล้าพูดมาก ด้วยเหตุนี้อี๋อวี้จึงเป็นคนแรกที่เป็นห่วงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ว่าหลังเขาเมาสุราแล้วพรุ่งนี้จะปวดศีรษะหรือไม่ อันว่าคนพูดไร้เจตนา คนฟังเก็บใส่ใจ ตอนเขากลับมาอาจยังหัวเสียอยู่บ้าง แต่เพลานี้ดีขึ้นมากแล้ว
เขาพยักหน้าแล้วนิ่งคิดอีกที ก่อนล้วงกล่องแบนๆ ยาวราวครึ่งฉื่อจากอกเสื้อยื่นส่งให้ เห็นนางรับไปเปิดออกแล้วเผยสีหน้าชอบอกชอบใจทันที เอานิ้วมือลูบปิ่นหยกในนั้นเบาๆ พอนึกขึ้นได้ก็เงยหน้ากล่าวขอบคุณเขา ใบหน้าหญิงสาวแดงซ่านด้วยความดีใจอยู่บ้าง เขาใจสั่นหวิว โน้มตัวไปฉกจูบตรงมุมปากนางอย่างห้ามใจไม่อยู่
เมื่อได้ลิ้มรสคราหนึ่งก็รู้สึกไม่จุใจ เขายึดท้ายทอยเล็กไว้ ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ก็กดตัวนางเอนกลับลงบนเตียง ยิ่งจุมพิตยิ่งดูดดื่ม ลมหายใจของชายหนุ่มหอบหนัก มือหนึ่งเลื่อนไล้ไปตามเรือนร่างแบบบาง ถึงแม้จะมีเสื้อคลุมบางๆ ขวางกั้นชั้นหนึ่ง สัมผัสเรียบลื่นนุ่มละมุนมือนั่นยังชวนให้คนคลั่งไคล้ ยิ่งคิดถึงว่าข้างนอกยังมีคนผู้หนึ่งหมายปองนางอยู่ ความคิดที่ต้องประทับตราจับจองบนร่างนางจึงจะดีก็ผุดขึ้นในหัวท่ามกลางสติพร่าเลือน เขาก็เพิ่มน้ำหนักมือมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังติงว่าไม่พอ ถึงกับคลำหาชายเสื้อสอดมือเข้าไปวางทาบเอวอ่อนของนาง
“อุบ…” อี๋อวี้ถูกหลี่ไท่โถมจูบกะทันหัน นางรับรู้อย่างเฉียบไวว่าคืนนี้เขาผิดปกติไปแต่มิได้ผลักไส ปล่อยให้เขาขบเม้มตามแต่ใจอย่างต้องการจะปลุกปลอบอารมณ์เล็กน้อย แต่ถึงที่สุดแล้วนางยังไม่หายป่วยดี โดนเรือนกายหนักอึ้งของชายหนุ่มทับไว้ ทั้งจุมพิตทั้งลูบไล้ก็หน้าแดงจรดใบหูเริ่มหายใจติดขัด เนื้อตัวก็อึดอัดทรมานยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งได้กลิ่นหอมจากกายเขาที่กำจายมาใกล้ๆ พาให้หัวสมองมึนงงพร่าเลือนไปด้วย
ครั้นหญิงสาวรู้สึกได้ว่ามีฝ่ามือใหญ่ร้อนจัดข้างหนึ่งลอดผ่านใต้อาภรณ์ ร่างนางสั่นกระตุก ดึงสติคืนมาได้ก็ลุกลนยกมือผลักไสเขา ทว่าดิ้นขัดขืนไม่กี่ที เขากลับจูบหนักหน่วงขึ้น เกี่ยวรัดลิ้นนางจนเจ็บชาไปหมด ตรงเอวยังถูกคลึงเคล้น ทั้งคู่เพิ่งคืนดีกันไม่ถึงสองวัน ได้พูดจาปรับความเข้าใจ ความรู้สึกต่อกันยิ่งลึกซึ้งขึ้น เป็นเหตุให้นางไม่อาจปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หลังครางในลำคอเสียงหนึ่ง แขนขาก็อ่อนระทวยหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านเขาอีก ได้แต่โอดครวญในใจ ขณะยังเหลือสติสัมปชัญญะรางๆ นางยิ้มอ่อนใจคิดคำนึงว่าครั้งนี้ไม่ทันระวังเขา เห็นทีว่าคืนนี้ต้องพลีกายเสียแล้ว
“คุณหนู ท่านหลับหรือยังเจ้าคะ”
ติดตามตอนต่อไป