บทที่ 2
ฝนตกหนักมากขึ้น ถึงไม่มีลมพัดทว่ายืนอยู่ด้านนอกก็รู้สึกหนาวเหน็บ
อี๋อวี้ถือร่มกวาดตามอง ‘เด็กหนุ่ม’ เบื้องหน้าจากหัวจรดเท้า วงหน้าอ่อนใสแจ่มกระจ่างชวนพิศยามคลี่ยิ้ม ผู้ใดเล่าจะคาดเดาออกคนผู้นี้จะสูงวัยกว่าหลี่ไท่เสียอีก
“เหยาอีตี๋ ไฉนเจ้าพูดพล่ามน่ารำคาญอย่างนี้”
นางกล่าววาจาอย่างไร้ความเกรงใจ ภายใต้สีหน้าสงบนิ่งเก็บงำความตื่นตกใจไว้ เพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นความหวาดหวั่นของตน การเดินทางสู่เขาต้าหมั่งยังชัดเจนในความทรงจำ นางต้องประสบกับความลำบากเพราะเขาไม่น้อย โดนเขากลั่นแกล้งตลอดทาง จนถึงเมืองผู่ซาหลัวคนผู้นี้ถึงหายไปโดยไร้ร่องรอย ใครจะรู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานปานนี้ จู่ๆ จะโผล่มาอีก
ไม่พบกันมานานหนึ่งปี เขาอ้าปากพูดก็เป็นที่รังเกียจรังงอนของหญิงสาว แต่เหยาอีตี๋หาได้โกรธาไม่ เขาขยี้ตาไล่เม็ดฝนที่เกาะบนขนตาออกแล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้ ก้มหน้าเบิ่งตากว้างๆ มองอี๋อวี้ เพื่อให้นางเห็นแววตาเห็นอกเห็นใจในนั้นได้ถนัดถนี่
เห็นอกเห็นใจ?
อี๋อวี้กะพริบตาปริบๆ จนแน่ใจว่ามองไม่ผิด นางบังเกิดความตื่นตัวระวังภัยขึ้นทันที รีบถอยหลังออกห่างครึ่งก้าวโดยไม่ส่อพิรุธพร้อมเอ่ยถาม “เจ้ามาเมืองหลวงทำอะไร”
“ก็บอกแล้วว่ามาหาเจ้า ไม่เชื่อข้าหรือ” พอสุ้มเสียงนุ่มนิ่มดังอยู่ใกล้ๆ ก็มีกระไอเย็นแผ่ซ่านมา
เชื่อเจ้าก็โง่แล้ว
อี๋อวี้เบะปาก นางถอยหลังอีกก้าว มองหาบันไดด้านข้างทางหางตา กำมือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าซุกเข้าใต้แขนเสื้อ และพูดอย่างขอไปที “เจ้ามาหาข้าทำไม”
“มาดูว่าเจ้าอยู่ดีมีสุขหรือไม่” เหยาอีตี๋เช็ดหยดน้ำบนหน้าออกอีกคำรบหนึ่ง จากนั้นก้มหัวจะมุดเข้าใต้ร่มของอี๋อวี้ แต่นางเบี่ยงกายหนี เขายกมือจับปลายแหลมของร่มไว้พลางกล่าวยิ้มๆ “นี่ ดีชั่วพวกเราก็เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน มิหนำซ้ำข้ายังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้าไว้ ไม่จำเป็นต้องตีตัวออกหากขนาดนี้กระมัง”
อี๋อวี้ไม่อยากโดนฝนเลยไม่โต้เถียงกับเขาอีก ยอมให้เขาเบียดกายครึ่งซีกเข้ามาอยู่ใต้ร่ม นางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่สูงกว่าตนไปครึ่งศีรษะและเลิกคิ้วกล่าว “ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต?”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นหลี่ไท่ทอดทิ้งเจ้าไว้ในป่าหมอกพิษไม่ดูดำดูดี เป็นใครช่วยชีวิตเจ้า แล้วตอนอยู่ในหุบเขา เจ้าหนุ่มหลิวกวนนั่นเกือบคร่าชีวิตเจ้า เป็นใครอีกเล่าที่ช่วยเจ้าไว้” เหยาอีตี๋ชูนิ้วโป้งชี้ตนเอง “ก็ข้าอย่างไรเล่า”
เขาไม่พูดก็แล้วกันไป พอพูดขึ้นมากลับย้ำเตือนอี๋อวี้ว่าการเดินทางเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปเขาต้าหมั่งอันน่าระทึกขวัญหนนั้น แท้จริงแล้วหลี่ไท่ ‘ตั้งใจ’ จัดเตรียมขึ้นเพื่อนางเป็นพิเศษ แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่เรื่องนี้ยังเป็นปมฝังแน่นในใจที่คลายไม่ออก คราใดที่นึกถึงว่าหลี่ไท่ฝึกฝนเคี่ยวกรำนางประหนึ่งเป็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่ นางก็จะรู้สึกคับข้องขัดเคืองใจทุกคราไป
อี๋อวี้แค่นหัวเราะแล้วย้อนถาม “แล้วเป็นใครกันที่เรียกงูพิษเป็นร้อยๆ ตัวเลื้อยมากัดข้า ดึงฝูงหมาป่านอกบึงน้ำมาไล่ล่าข้า เป็นต้นเหตุให้ข้าโดนพิษงู ยังเกือบจบชีวิตใต้คมเขี้ยวหมาป่า”
ครั้นเห็นหน้าอี๋อวี้เริ่มบูดบึ้ง เหยาอีตี๋กลอกตาไปมาแล้วหัวเราะฝืดๆ ไม่เอ่ยถึงเรื่องช่วยชีวิตนั่นต่อ เขาเปลี่ยนเรื่องพูด “ได้ยินว่าพวกเจ้าจะแต่งงานกันเดือนหน้าหรือ”
“เจ้าสืบข่าวได้ละเอียดดีนี่”
“ข้าบอกแล้วว่ามาหาเจ้า ก็ต้องสืบเรื่องเกี่ยวกับเจ้าอย่างแจ่มแจ้งบ้าง”
“เหยาอีตี๋” อี๋อวี้สูดอากาศชื้นๆ เข้าปอดเฮือกหนึ่ง เสียงฝนซู่ซ่าดังข้างหู แผ่นหลังของจ่างซุนซีที่ตามหลี่ไท่ขึ้นไปชั้นบนยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด นางไม่มีแก่ใจต่อความยาวสาวความยืดกับเขาจริงๆ “ไม่ว่าเจ้ามาเมืองหลวงทำอะไรกันแน่ ทางที่ดีอยู่ห่างๆ ข้าไว้สักหน่อยเป็นดีที่สุด”
“ถ้าข้าไม่ทำล่ะ” เหยาอีตี๋จ้องมองดวงหน้าขาวลออของสตรีตัวน้อยเบื้องหน้าที่เริ่มกรุ่นด้วยไฟโทสะ หวนประหวัดอีกคราถึงความบ้าดีเดือดยามนางปกป้องคนผู้นั้นอย่างปราศจากความพรั่นพรึงแล้วปากคอแห้งผากโดยไร้สาเหตุ แต่เขามักห้ามใจไม่เข้าไปใกล้นางไม่ได้เป็นนิจ