อี๋อวี้ไม่พูดกับเขาให้มากความ มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าไว้ปัดนิ้วมือที่กำด้ามร่มของเขาออก จากนั้นเดินไปทางเชิงบันได ผงยาพิษมีพร้อมอยู่ในอุ้งมือ ขอแค่เขามุดเข้ามาอีกที นางจะตกรางวัลให้เขาอย่างจุใจ ได้นอนหลับกลางฝนชะล้างหัวสมองให้สะอาดสักที
เหยาอีตี๋ไม่ตามเซ้าซี้ ยืนอยู่ที่เดิมตะโกนไล่หลังนาง
“เจ้าตรองดูดีแล้วหรือว่าจะออกเรือนกับเขา อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ เจ้าสี่มิใช่คนดิบดีอะไรจริงๆ ส่วนที่เจ้าเห็นจากตัวเขาน้อยกว่าส่วนที่เจ้ามองไม่เห็นเสมอ รอวันใดเจ้าหมดประโยชน์สำหรับเขา เจ้าจะรู้เองว่าเขาเป็นคนใจดำเพียงใด ถึงเวลาค่อยมานั่งนึกเสียใจทีหลังก็สายเกินการแล้ว”
ได้ยินเสียงร้องเรียกทางข้างหลัง อี๋อวี้ไม่รู้ว่าสมควรโมโหหรือขบขันดี นี่มันอะไรกัน คนแล้วคนเล่าล้วนตั้งข้อกังขากับการแต่งงานของนางกับหลี่ไท่ ไม่มีคนเห็นดีด้วยที่เขากับนางจะครองคู่กันขนาดนี้เชียวหรือ ตกลงว่ามันไปขัดนัยน์ตาใครกันแน่
อี๋อวี้คิดไปถึงคำทำนายอย่างมั่นใจของนักพรตที่วัดเทียนเฮ่ออีก นางส่ายหัวสลัดคำกล่าวเหลวไหลที่ว่า ‘เป็นภัยต่อราษฎร’ ทิ้งไปแล้วจะก้าวเท้าขึ้นบันได เสียงทอดถอนใจด้านหลังก็ดังมาเข้าหู คำพูดที่ดังขึ้นหนนี้หยุดฝีเท้านางได้เป็นผลสำเร็จ
“เจ้าดูแม่นางสกุลตงฟางคนนั้นสิ มีจุดจบอย่างน่าอนาถปานใด เวลาไม่ใช้ประโยชน์แล้ว ก็ได้แต่ต้องล้มป่วยลาลับจากไปเป็นบทลงเอย”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เอ๊ะ? เจ้าไม่รู้เรื่องหรือนี่” เหยาอีตี๋อยู่ใต้สายฝนเปียกโชกไปทั้งร่าง อาภรณ์บางๆ แนบติดเรือนกายผอมเพรียว เขาตวัดตามองมา รูปโฉมที่ธรรมดาสามัญแต่เดิมกลับแฝงความงามกึ่งหญิงกึ่งชายไว้ บนหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยนั่นเผยรอยยิ้มพิกล
“ก็ชายารองที่ยังไม่เข้าพิธีของเจ้าสี่ผู้นั้นอย่างไรเล่า นามว่าตงฟางอะไรจูๆ นั่นนะ มอดม้วยมรณาไปตอนต้นเดือนแล้ว บอกว่าป่วยตาย แต่ข้าขอบอกเจ้าชัดๆ ว่ามีคนไปถอนหมั้นถึงจวน บีบคั้นแม่นางน้อยที่รอคอยอย่างทรมานใจนานสามปีต้องขาดใจตาย”
อี๋อวี้คิดว่านางต้องเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่ พอได้ยินข่าวแบบนี้ ปฏิกิริยาแรกของตนคือมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่ารอบตัวไม่มีคนได้ยิน ถึงเริ่มขบคิดความหมายของคำพูดตั้งแต่ต้นจนจบของเขา
ตงฟางหมิงจูตายไปแล้ว?!
เหยาอีตี๋เอียงคอหรี่ดวงตาฉ่ำน้ำฝนลง เฝ้ารอสีหน้าเปี่ยมสีสันแห่งอารมณ์ของอี๋อวี้ ไหนเลยจะคาดถึงว่าอึดใจต่อมานางจะสะบัดหน้ากระแทกเท้าขึ้นไปข้างบน เพียงปล่อยให้เขามองตามแผ่นหลังเร่งรีบของตน
ชายหนุ่มยกมือปาดหยดน้ำบนหน้าออก แขนเสื้อเปียกแฉะร่นลงมาถึงข้อศอกเผยให้เห็นแผลเป็นน่าเกลียดรอยหนึ่ง ยามหางตาเหลือบเห็นผิวตะปุ่มตะป่ำบนท่อนแขน นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยแววนึกสนุก
“เฮอะ ทั้งที่เป็นพวกใจดำ โหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งชอบตัดไมตรีไม่รักษาน้ำใจใคร ต่อหน้าเจ้ากลับเสแสร้งเสียเป็นจริงเป็นจังปานนั้น เจ้าตัวเล็ก ข้าน่ะหวังดีต่อเจ้านะ อย่าไม่รับน้ำใจสิ”
การประชันศาสตร์เขียนอักษรตอนเช้าถูกเปลี่ยนเป็นตอนบ่าย อี๋อวี้ไม่หลบฝนอยู่ในหอจวินจื่อกับคนอื่นๆ นางหนีหน้าหลี่ไท่ ชวนเฉิงเสี่ยวเฟิ่งไปนั่งในร้านน้ำชาแห่งหนึ่งบนถนนฉางเหลียงด้านหลังเรือนพักศิษย์
พออี๋อวี้ไต่ถามเรื่องตงฟางหมิงจู เฉิงเสี่ยวเฟิ่งอึกๆ อักๆ ครู่ใหญ่ ถึงเล่าเรื่องที่ตนรู้ทั้งหมดโดยไม่ตกหล่น