“ดูข้าสิ มาๆ อวี้เอ๋อร์ นี่คือท่านลุงเขยของเจ้า” หลูจิ่งซานโอบไหล่อี๋อวี้หันกายไป ดวงตาแดงเรื่อถลึงมองสามียิ้มๆ พลางเอ่ย “นี่หลานสาวข้าเอง ในตระกูลมีนางผู้เดียวเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ท่านอย่าใจแคบหน่อยเลย”
หากให้คนนอกได้ยินเข้า ต้องบอกว่านางพูดผิดเป็นแน่ ถ้าไม่นับหลูซูฉิง ก็ยังมีเด็กน้อยหลูเจ๋อบุตรชายของนายท่านรองอีกคน แต่เห็นชัดว่าฟางหังรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลหลูดี เขามีสีหน้าเป็นปกติขณะล้วงแขนเสื้อแล้วดึงมือที่ว่างเปล่าออกมาตบหน้าผาก พลางกล่าว
“แย่แล้ว สงสัยข้าจะลืมทิ้งไว้ในโรงเตี๊ยม”
แม้นไม่พบกันหลายปี แต่หลูซื่อรู้จักฟางหังดี นางเอ่ยกับหลูจิ่งซานทันที “ระหว่างพวกเรายังต้องเกรงใจอะไรกันอีก พวกท่านลงเรือนั่งรถม้ามาเหนื่อยๆ รีบเข้าไปพักด้านในเถอะ”
หลูจิ่งซานกลับไม่คล้อยตาม นางพูดดุใส่ฟางหังพร้อมรอยยิ้ม “ท่านจะโกหกใครกัน ยังไม่รีบหยิบออกมา หรืออยากลิ้มรสหมัดกับเท้าข้า”
อี๋อวี้มองคนคู่นี้พูดจาเล่นหัวกันตามสบาย ผิดแผกจากสามีภรรยาตามกรอบประเพณีคู่อื่น พาให้รู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเอง
ฟางหังหัวเราะชอบใจ สอดมือเข้าอกเสื้อหยิบกล่องเล็กๆ เลี่ยมทองใบหนึ่งส่งให้นาง
“ขอบคุณท่านลุงเขยเจ้าค่ะ” อี๋อวี้เรียกขานทักทายเขาอย่างเปิดเผย ก่อนจะเปิดกล่องออกดู เห็นไข่มุกสีดำขลับขนาดใหญ่เท่าผลหลี่เม็ดหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น เมื่อเห็นของล้ำค่าปานนี้ นางไม่รู้ว่าสมควรรับไว้หรือปฏิเสธดี
“รับไว้เถอะ” ฟางหังเห็นหลานสาวลังเลใจจึงพูดขึ้นขันๆ “ท่านป้าของเจ้าเป็นพวกไม่รู้จักของดี ไม่สวมใส่ไข่มุก มิสู้เอาให้เจ้าเล่นยังดีกว่า”
หลูจิ่งซานจุปากอย่างไม่พึงใจใส่สามีก่อนกล่าว “คนมัวเมาในทรัพย์เช่นท่านต่างหากเป็นพวกตื้นเขินอย่างแท้จริง”
“รับไว้เถอะ” หลูซื่อเอ่ยขึ้น
สตรีวัยนี้น้อยคนนักจะไม่ชมชอบเพชรนิลจินดา เห็นมารดาออกปากแล้ว อี๋อวี้ไม่กระมิดกระเมี้ยนอีก รับของไว้อย่างปีติยินดี เวลานี้เองนางสังเกตเห็นว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งลงจากรถม้ามา
“คารวะฮูหยิน คารวะคุณหนู”
อี๋อวี้ยังจำได้ว่าบุรุษอายุราวสี่สิบผู้นี้นามว่าหลูตง เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินที่หยางโจวของนายท่านผู้เฒ่าหลู ต่อมาตอนแยกเรือน สมบัติก้อนนี้ถูกยกให้นางเป็นสินเจ้าสาวตามคำสั่งเสีย หลูตงจึงกลายเป็นคนของนาง
“หลูตง” หลูจิ่งซานสั่งการ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวขนของลงเสร็จ ตรวจนับให้ถี่ถ้วนแล้วเอารายชื่อมอบให้คุณหนูของพวกเจ้า”
อี๋อวี้เห็นผู้ดูแลคนนี้ไม่ส่งเสียงตอบกลับหันหน้ามามองตนนิ่งๆ นางเลยพยักหน้ากับเขาโดยไม่ทันหยุดคิด เขาถึงโค้งกายขานรับว่า “ขอรับ” จากนั้นเรียกพวกบ่าวผู้ชายในสวนผูเจินไปช่วยงานทางด้านหลัง
หลูซื่อกำลังจะพาพวกเขาเดินเข้าข้างใน ได้ยินหลูจิ่งซานโพล่งบอกเรื่องหนึ่งซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้
“หลันเหนียง พวกข้าโยกย้ายมาจากหยางโจวแล้วจะขออาศัยอยู่กับเจ้าที่นี่ชั่วคราว เจ้าอย่าได้รังเกียจรังงอนนะ”
“อะไรนะ” หลูซื่อลิ้นพันกัน “ละ…แล้วท่านแม่ล่ะ”
“พวกเราเข้าเรือนแล้วค่อยคุยกัน”
หลูจิ่งซานสอดมือคล้องแขนหลูซื่อกับอี๋อวี้ถือวิสาสะเดินเข้าสู่คฤหาสน์อย่างสนิทสนม อี๋อวี้เอี้ยวคอมองฟางหัง เห็นเขาสนทนาอยู่กับสตรีสองคนที่สาวใช้ประคองลงจากรถม้าข้างหลัง ดูเครื่องแต่งกายแบบสตรีออกเรือนแล้วบนตัวพวกนาง ก็คาดเดาได้รางๆ ว่าเป็นอนุสองคนของฟางหัง
หลูซื่อเคยบอกนางมานานแล้วว่าหลูจิ่งซานไร้บุตรธิดา ทั้งรักใคร่กลมเกลียวกับสามี นางเป็นฝ่ายช่วยรับอนุให้แก่ฟางหังเอง หมายใจว่าจะมีทายาทสืบสกุลให้สกุลฟาง ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ผ่านมาหลายปีก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรสักคน เสาะหาหมอมามากมาย ล้วนบอกสาเหตุไม่ได้
อนุสองคนนี้แต่งกายสุภาพเรียบร้อย เพียงแต่อ่อนเยาว์กว่าหลูจิ่งซานมาก ทั้งคู่ล้วนมีอายุยี่สิบเศษ รูปโฉมไม่สามัญ ท่วงทีกิริยาอ่อนหวานนิ่มนวลเฉกสตรีแดนเจียงหนาน ยามฟางหังพูดกับพวกนาง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนมาก อี๋อวี้เห็นแล้วลอบตะขิดตะขวงใจอยู่สักหน่อย นางเดินถึงโถงหน้าแล้วยังคิดอย่างใจลอยว่า หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นนางกับหลี่ไท่ นางจะช่วยรับอนุให้เขาอย่างใจกว้างปานนี้หรือไม่
คำตอบคือไม่อย่างแน่นอน จริงๆ แล้วคนอย่างนางเห็นแก่ตัวเป็นอันมาก