บทที่ 3
สายฝนย่อมมีเวลาหยุดตก พระอาทิตย์ซึ่งถูกกักไว้หลังผืนเมฆทั้งเช้าได้รับการปล่อยตัวออกมาก็แผ่ไอร้อนสุดกำลัง บันดาลให้อากาศหลงเหลือแต่ความเย็นสบาย ไม่หนาวเหน็บหม่นมัวอย่างตอนฝนตก
เฉิงเสี่ยวเฟิ่งมือหนึ่งหอบอาภรณ์ที่ผึ่งแห้ง มือหนึ่งถือถาด เดินเลี้ยวเข้าห้องแล้ววางของลง จากนั้นนั่งตรงข้างเตียงมองดูอี๋อวี้ที่นอนนิ่งอยู่บนนั้น ยื่นมือไปอังหน้าผากอีกฝ่าย พอเห็นนางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ถึงยกชามน้ำขิงขึ้นเป่าลมสองทีพลางกล่าว
“ลุกขึ้นมาดื่มก่อนแล้วค่อยนอนต่อนะ”
อี๋อวี้ขยี้ตาอ้าปากหาว ก่อนจะชันกายขึ้นนั่งแล้วรับชามมาดื่มคำเล็กๆ เสียงพูดติดจะแหบแห้ง “ยามใดแล้วเจ้าคะ”
“ยังเช้าอยู่” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งรับชามเปล่าคืน “เจ้านอนต่ออีกครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวข้าปลุกเจ้าเอง ไม่ไปสายแน่”
“นอนมาตลอดเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ” อี๋อวี้หยิบหมอนนุ่มๆ มารองหลังเพราะเจ็บหนึบๆ ที่ไหล่ขวา ตอนเช้าออกจากหอเทียนอ่าย นางตรงดิ่งมายังจวนสกุลเฉิง เฉิงฮูหยินเห็นนางเปียกฝนม่อล่อกม่อแล่กก็ตกใจยกใหญ่ หลังชำระกายผลัดอาภรณ์ นางกินอาหารแล้วเอนกายลงนอนบนเตียงของเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง สะลึมสะลือหลับไปด้วยจิตใจที่สับสนยุ่งเหยิง พอตื่นขึ้นอีกทีสติถึงแจ่มใสขึ้นมาก
นางหวนนึกถึงตอนเห็นหลี่ไท่กับจ่างซุนซีอยู่ด้วยกันโดยไม่กริ่งเกรงคำครหาใดแล้วสะบัดหน้าจากมาโดยปราศจากความลังเล ภายนอกดูเด็ดขาด หากแท้ที่จริงเป็นเต่าหดหัวต่างหาก นางรู้สึกว่าตนเองแสนจะไม่เอาไหน
นางมั่นใจเต็มอกว่าหลี่ไท่ไม่คิดเป็นอื่นกับจ่างซุนซี ทว่าพอได้ตรึกตรองดีๆ นับแต่กลับเมืองหลวง ภายใต้ ‘กลยุทธ์’ ที่เปลี่ยนแปลงไปของจ่างซุนซี เขาล้วนรักษาท่าทีไม่รับไม่ปฏิเสธอยู่จนแล้วจนรอดมิใช่หรือ สองสามครั้งแรกนางไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่บ่อยครั้งเข้า ต่อให้นางใจกว้างแค่ไหนก็ไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็น อย่างเช่นวันนี้นางก็หลงเล่ห์กลของจ่างซุนซี เดินหนีหลี่ไท่มาด้วยความโกรธ หากนางไม่เข้าใจจนทะเลาะกับเขาอีกครั้งก็จะเข้าแผนของจ่างซุนซี ค่อยๆ กินแหนงแคลงใจกับเขาทีละน้อย
บัดนี้ความรู้สึกของอี๋อวี้ต่อจ่างซุนซี จากวางเฉยในกาลก่อนกลายเป็นรังเกียจแล้ว หากที่ทำให้นางโมโหยิ่งกว่ากลับเป็นท่าทีไม่รับไม่ปฏิเสธของหลี่ไท่นั่น
“ถ้าเจ้าไม่ง่วง พวกเราก็คุยกัน…เสี่ยวอวี้?”
“อื้อ ข้าฟังอยู่เจ้าค่ะ” อี๋อวี้ยกมือนวดไหล่พลางเงยหน้ามองเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง นางฉุกคิดขึ้นได้จึงเอ่ยปากถาม “พี่เสี่ยวเฟิ่ง ท่านรู้จักกับจ่างซุนเสียนมานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ”
รอยยิ้มตรงมุมปากของเฉิงเสี่ยวเฟิ่งเจื่อนลง นางกล่าวตอบอย่างไม่สู้เต็มใจ “หลายปีแล้ว ข้ารู้จักนางตั้งแต่เล็กๆ”
“แล้วจ่างซุนซีล่ะเจ้าคะ”
“ก็นานแล้วกระมัง” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งถอดรองเท้า อี๋อวี้ขยับที่ว่างให้นางซุกเข้าใต้ผ้าห่ม นั่งพูดคุยข้างๆ กัน “เจ้าก็รู้ว่าเมืองหลวงจัดงานเลี้ยงบ่อยๆ กลุ่มผู้เยาว์รุ่นหลังอย่างพวกข้าเลยได้เจอหน้าค่าตากันเป็นประจำ”
อี๋อวี้พยักหน้าแล้วถามต่อ “แต่ก่อนสองพี่น้องสกุลจ่างซุนกับพวกเกาหยาง อู๋อ๋องแล้วก็เว่ยอ๋องสนิทสนมกันมากหรือเจ้าคะ”