บทที่ 4
“ตอนบ่ายซีเอ๋อร์มิได้มาเข้าร่วมประชัน ป้ายไม้สลักศาสตร์เขียนอักษรนี้ เห็นทีว่าคงตกเป็นของคุณหนูหลูโดยไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว หรือว่าอย่างนี้ยังไม่คู่ควรแสดงความยินดี”
ฉู่เสี่ยวซือเป็นบุตรสาวสายเลือดภรรยาเอกของตระกูล ก่อนหน้านี้บิดาของนางเป็นอาจารย์ตำแหน่งป๋อซื่อของสำนักลวี่เสวีย สองปีที่แล้วถูกโยกย้ายไปสำนักราชมนตรีฝ่ายอักษรสาร จู่ๆ ก็ได้ดิบได้ดี จากขั้นห้าเลื่อนยศรวดเดียวสามขั้นเป็นขุนนางลำดับหลักขั้นสี่ รั้งตำแหน่งรองราชมนตรีฝ่ายอักษรสารขึ้นตรงต่อฝางเฉียว ทั้งได้รับความไว้วางใจพอดู
ตำแหน่งรองราชมนตรีฝ่ายอักษรสารนี้เป็นที่จับจ้องตาเป็นมันโดยเหล่าขุนนางเสมอมา มักถูกมองว่าเป็นผู้ที่จะได้สืบทอดตำแหน่งราชมนตรีคนต่อไป ขุนนางชั้นยศเดียวกันยังต้องให้เกียรติสามส่วน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรฉู่เสี่ยวซือซึ่งเคยโดนอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงลงโทษกักบริเวณ และถูกจ่างซุนเสียนถีบหัวส่งไปเป็นแพะรับบาป ถึงกลับมาผยองพองขนได้
ตอนเที่ยงอี๋อวี้เพิ่งสอบถามจากเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง ขณะเดียวกับที่แจ่มแจ้งในบัดดล นางยังรู้สึกจนปัญญา ราวกับว่าขอแค่เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับฝางเฉียว ล้วนมิใช่เรื่องดีของนาง ฉู่เสี่ยวซือกล่าวคำนี้จะชี้เป็นนัยๆ ว่าในการประชันศาสตร์เขียนอักษรคราวนี้ ถึงนางเป็นผู้ชนะ นั่นก็เพราะจ่างซุนซีมิได้มาร่วมแข่งขัน
ลูกศิษย์ทั้งสี่ทิศบ้างนั่งบ้างยืน แต่จริงๆ แล้วกำลังชมเรื่องสนุกนี้กันอย่างเพลิดเพลิน อี๋อวี้ลอบคับใจ นางไม่ชอบให้ใครมองดูเหมือนเป็นละครลิงเป็นที่สุด เผอิญว่ามีคนชมชอบก่อความวุ่นวายขึ้นเองแล้วยังดึงนางเข้าไปร่วมด้วย
“คำกล่าวของคุณหนูฉู่ไร้เหตุผลเหลือเกิน คุณหนูจ่างซุนไม่มาลงแข่งเกี่ยวอะไรกับใคร ใช่ว่าคุณหนูหลูไม่ให้นางมาเสียหน่อย” จิ้นลู่อันจะพูดตะกุกตะกักก็แต่กับอี๋อวี้เท่านั้น ยามโต้คารมกับคนอื่นไม่เคยติดขัด
ฉู่เสี่ยวซือไม่คาดว่าจะมีคนนอกพูดแทรกขึ้น นางผินหน้าไปเห็นจิ้นลู่อัน จำได้ว่าเป็นหลานสาวของอาจารย์ในสำนักตน แววดูแคลนจุดวาบในดวงตา นางแค่นเสียงฮึแล้วกล่าว
“ข้าพูดกับคุณหนูหลู เจ้ามีสิทธิ์ใดสอดปากขึ้น”
บิดาของนางเป็นแค่รองราชมนตรีจริงๆ หรือ นี่แทบจะวางท่าเทียบเคียงกับองค์หญิงแล้ว อี๋อวี้ลอบนึกขัน ปรายตามองฉู่เสี่ยวซือที่ทำหน้าเชิดแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กสาวหน้ากลม
“ยังมิได้ถามเลยว่าคุณหนูท่านนี้แซ่ว่าอะไร”
จิ้นลู่อันกำลังครุ่นคิดว่าจะพูดโต้ฉู่เสี่ยวซือกลับเช่นใด พอถูกอี๋อวี้ถาม นางเบือนศีรษะไปแล้วหน้าแดงเป็นคำรบที่สอง ก่อนจะยกมือขึ้นจับๆ สาบเสื้อพลางกล่าว “ขะ…ข้าแซ่จิ้น นามลู่อัน…ลู่เขียนแบบนี้…ส่วนอันเขียนแบบนี้เจ้าค่ะ”
อี๋อวี้มองดูนางวาดไม้วาดมือเขียนตัวอักษรกลางอากาศด้วยท่าทางซื่อๆ บอกกระทั่งชื่อเสียงเรียงนามเสร็จสรรพ นางดึงพู่กันเปียกในกระบอกไม้ไผ่พร้อมกับหยิบกระดาษขาวมาแผ่นหนึ่งแล้วก้มตัวเขียนอักษรสามตัวด้วยน้ำ
“เขียนอย่างนี้ใช่ไหม”
น้ำผสมหมึกเจือจางซึมผ่านกระดาษปรากฏรอยเป็นชื่อของนางพอดี จิ้นลู่อันจ้องมองอักษรสามตัวบนนั้นตาเขม็ง นางอึ้งไปชั่วครู่แล้วเบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจแกมยินดี ยื่นมือชี้กระดาษด้วยความตื่นเต้นจนพูดไม่ออก