บทที่ 5
ต่อจากนั้นยังประกาศผลผู้ที่ได้สุดท้าย หลังการประชันศาสตร์เสร็จสิ้น หลี่ไท่ลงบันไดพร้อมกับอวี๋ซื่อหนาน เมื่อผู้เฒ่าสูงวัยนั่งเกี้ยวหามกลับไปก่อน ขันทีผู้ติดตามหลี่ไท่ถึงบอกความตามคำพูดเดิมของอี๋อวี้ทุกประการ
หลี่ไท่ฟังแล้วไม่ถามอะไรมาก เขาแหวกชายเสื้อคลุมไปด้านข้างก้าวขึ้นรถม้าแล้วค่อยเริ่มตรึกตรอง เมื่อวานอี๋อวี้ยังปกติดี นี่นางแง่งอนอะไรอีก ตอนเช้าที่หอเทียนอ่ายเขาก็รู้สึกว่านางแปลกไป ตอนหลังยังหนีกลับไปโดยไม่บอกกล่าว ตอนนี้ยังเริ่มหลบหน้าเขาอีก นางบอกว่ามีเรื่องต้องคิดให้กระจ่าง เห็นชัดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา ชายหนุ่มขบคิดเล็กน้อยก็คาดเดาได้ว่านางอาจจะได้ยินข่าวการตายของตงฟางหมิงจูแล้ว
นางตามไปถึงหอเทียนอ่ายบอกว่ามีเรื่องคุยกับเขาก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ หลี่ไท่คิดถึงจุดนี้แล้วไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เขารู้ว่าช่วงนี้หญิงสาวเก็บตัวอยู่ที่ตำบลหลงเฉวียนรอออกเรือน นางมีสหายในเมืองหลวงคนเดียวคือเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง ซึ่งแม้จะไม่ฉลาดมากนัก แต่คงไม่เป็นฝ่ายแล่นไปบอกข่าวการตายของตงฟางหมิงจูเองในเวลานี้ ตอนแรกเขาตั้งใจว่าหาเวลาเหมาะๆ ได้แล้วค่อยบอกนางอีกที เพราะเรื่องนี้มีบางอย่างเปิดเผยให้คนนอกรู้ไม่ได้ ใครจะคาดว่านางจะตัดสินใจมาเข้าร่วมการประชันศาสตร์ทั้งห้าโดยพลการ ดังนั้นได้ยินข่าวนี้ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ เว่ยอ๋องผู้มิได้ใคร่ครวญให้ลึกลงไปว่าต้นเหตุมาจากตน ก็สรุปว่าความผิดปกติของนางในวันนี้มาจากเรื่องของตงฟางหมิงจู เขาเห็นว่าให้เวลานางคิดเรื่องนี้สักหน่อยก็เป็นการดี แต่หากคิดไม่ได้จริง ตอนหลังเขาค่อยช่วยให้นาง ‘คิดได้’ เป็นอันสิ้นเรื่อง
หลี่ไท่ไม่ชมชอบเก็บเรื่องต่างๆ ไว้ในใจ ทั้งไม่เอามาปะปนกัน เขาจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วก็ไม่ร้อนใจไปตามตัวนาง เพราะอีกสักครู่ไปถึงสำนักอักษรยังมีอะไรต่อมิอะไรให้อ่านอีกมาก เขาเลยเอนพิงผนังรถม้าหลับตาทำสมาธิ
อีกด้านหนึ่ง อี๋อวี้อยู่ในภวังค์ความคิดตลอดทางกลับสู่สวนผูเจิน ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าเข้าลานเรือน แววขุ่นข้องบนหน้าก็เลือนหายไป นางเดินไปเรือนหลังหาพวกหลูซื่อ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คร่าวๆ และหยิบป้ายไม้ป้ายนั้นออกมาให้ทุกคนดู
ตอนแรกหลูซื่อกังวลใจว่าฝนที่ตกลงมาเมื่อเช้าจะทำให้เสียเรื่อง แต่พอเห็นป้ายไม้สลักก็ดีใจจนออกนอกหน้า หานลี่ที่อยู่ด้านข้างกล่าวชมอี๋อวี้อย่างรู้กาลเทศะ คำเยินยอของเขาเกือบเป็นเหตุให้นางหน้าแดง ทว่าหลูซื่อฟังอย่างอิ่มเอมเปรมใจ นานทีปีหนนางจะมองหานลี่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ด้านโจวฮูหยินถือป้ายไม้สลักมองอย่างพินิจครู่หนึ่ง หานสืออวี้ก็ขอไปดูบ้าง ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมหลายคำแล้วโยนมันคืนให้
อี๋อวี้บอกเรื่องที่ไม่ลงแข่งในศาสตร์ที่เหลืออยู่ให้รู้ หลูซื่อกลัวว่านางไม่ไปไม่ได้ แต่ฉุกคิดได้ว่ายังมีหลี่ไท่อยู่ทั้งคน ก็ปล่อยให้บุตรสาวอยู่กับเรือนอย่างสงบเสงี่ยมด้วยความชอบอกชอบใจ
เมื่อกินอาหารเย็นแล้ว อยู่ต่อหน้ามารดาอี๋อวี้รับคำว่าจะกลับห้องพักผ่อน แต่คล้อยหลังก็เลี้ยวเข้าห้องหนังสือ บอกให้เฉินชวีคอยฝนหมึกอยู่ข้างๆ ส่วนตนเองวางกระดาษจับพู่กันคัดตำราต่อ
ในการแข่งตีคลีที่วังหลวงตอนวันที่สาม หลี่ไท่โดนทำโทษ นางคิดคำนึงว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานของสำนักอักษร ไม่มีเวลาคัดตำราก็เลยเลียนแบบลายมือเขาลอบช่วยคัดตำราคุณธรรมให้เงียบๆ ถึงอย่างไรต้องลอกเลียนให้เหมือนจึงเขียนเร็วไม่ได้ ตลอดเจ็ดแปดวันมานี้นางทำโดยไม่หยุดพักสักวัน นี่ก็เหลืออีกบทเดียวยังคัดไม่จบ
บางคราอี๋อวี้หมกมุ่นกับงานสุดจะกล่าว ถึงขั้นไม่เสร็จสิ้นไม่เลิกรา ทั้งที่ตอนเช้าหัวไหล่โดนกระแทก นางยังดึงดันจะคัดบทสุดท้ายจนจบจึงจะหยุดมือ แม้ว่ายามนี้นางโกรธเคืองหลี่ไท่อยู่ แต่ถ้าช่วยงานเขาได้ นางก็รู้สึกทั้งเป็นสุขทั้งขัดแย้งอยู่ในใจ
รอเมื่อกลับถึงห้องนอน นางเอนกายลงบนเตียงอย่างกะปลกกะเปลี้ย และหลับใหลไปพร้อมกับสมองที่มึนงง แม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ก็เป็นพวกสาวใช้ช่วยผลัดเปลี่ยนให้ ตอนตื่นขึ้นมาอีกทีเป็นกลางดึกแล้ว