บทที่ 6
ดึกสงัด บนถนนในตำบลหลงเฉวียนที่ยามกลางวันยังนับว่าครึกครื้น เวลานี้ว่างโหรงเหรงมีแต่นกฮูกบินโฉบผ่านสันกำแพงมุมถนนเป็นครั้งคราว ขณะที่สวนผูเจินตรงเชิงเขาทิศใต้กลับไม่มีผู้ใดข่มตาหลับ
หลังพลิกตัวกระสับกระส่ายมาทั้งวัน อี๋อวี้ก็หลับใหลไม่ได้สติไปตอนหัวค่ำ ไม่พูดเพ้องึมงำด้วยสุ้มเสียงแหบพร่าอีก แต่ก็ปลุกไม่ตื่น ตลอดวันนี้นางถูกกรอกยาต้มไปแล้วสองชาม แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครมาจากเมืองหลวง สุดท้ายหมอในตัวตำบลโดน ‘กักตัว’ ไว้ในคฤหาสน์ ถึงอย่างไรมีก็ดีกว่าไม่มีเลย
“ท่านหมอซ่ง ไหนท่านบอกว่าไม่มีอาการของโรคธาตุร้อนกำเริบมิใช่หรือ นี่ก็วันหนึ่งแล้วเพราะอะไรนางยังตัวร้อนเหมือนไฟเผาเล่า” หลูซื่อก้มตัวเกาะขอบเตียงมาหนึ่งวันเต็ม คนในห้องนี้นอกจากอี๋อวี้ที่นอนบนเตียง ผู้ที่สีหน้าบึ้งตึงที่สุดต้องยกให้นางแล้ว สองตาบวมเป่ง ใบหน้าซีดเผือดจนน่าตกใจ ทุกๆ ชั่วครู่ก็ต้องหันศีรษะถามหมอครั้งหนึ่ง
“เอ่อ…หลูฮูหยินอย่าเพิ่งใจร้อน” ผู้เป็นหมอยืนจับเจ่าอยู่ด้านข้าง หวนนึกถึงคำกำชับกำชาเมื่อครู่ของบุรุษด้านนอกคนนั้น เขาแสร้งทำเยือกเย็นกล่าวตอบ “อาการของคุณหนูเกิดจากธาตุไฟกำเริบ ถึงจับไข้สูงไม่ยอมสร่าง เจ้าไข้นี้นึกจะมาก็มา แต่พอลดลงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขานิ่งคิดแล้วพูดต่อท้ายอีกคำ “ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
ถึงปากเขาบอกอย่างนี้ ในใจกลับไม่ใคร่มั่นใจนัก เมื่อตอนกลางวันเขาเขียนใบสั่งยาอย่างมั่นอกมั่นใจ ไหนเลยจะคิดถึงว่าอาการป่วยของนางกลับทรุดลง เป็นหานลี่อาศัยจังหวะหลูซื่อเช็ดเหงื่อตามตัวให้อี๋อวี้เรียกเขาไปพูดกำชับอย่างรอบคอบ เขาถึงกล่าวถ้อยคำปลุกปลอบทุกครั้งที่หลูซื่อไต่ถาม แต่พอเขาตวัดตามองร่างบนเตียงก็ลอบคิดอย่างจนใจว่าหากไข้ไม่ลด ปล่อยให้ตัวร้อนไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ต่อให้คุณหนูท่านนี้ทนผ่านไปได้ เกรงว่าก็ต้องเป็นโรคเรื้อรังติดตัว
หานลี่เดินวนไปวนอยู่ในโถงด้านนอกที่กว้างขวาง คราใดได้ยินเสียงสนทนาในห้องก็จะหยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง ใบหน้าเขาเดี๋ยวตึงเครียดเดี๋ยวผ่อนคลาย บุรุษซึ่งแต่ไรมานอกจากตนเองกับหลูซื่อแล้วไม่เห็นคนที่สามอยู่ในสายตา นึกพิศวงเมื่อพบว่าพอแม่นางน้อยผู้นั้นล้มป่วยแบบนี้ เขาถึงกับทรมานใจไปด้วย อย่าลืมว่านางคือบุตรสาวของฝางเฉียว ถึงเกิดอะไรขึ้นกับนางจริงๆ เขาสมควรสำราญใจต่างหาก จะทรมานใจได้อย่างไร
หานลี่อยู่มาจนอายุปูนนี้แน่ใจเป็นอันมากว่านี่มิใช่เป็นดั่งคำกล่าวว่า ‘เมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือน’ ถ้าจะ ‘เผื่อแผ่’ เขาคง ‘เผื่อแผ่’ ไปนานแล้ว หนึ่งปีก่อนเขายังปฏิบัติต่อพวกลูกๆ ของหลูซื่อกับฝางเฉียวด้วยท่าทีที่ไม่แยแสความเป็นความตายของพวกเขาได้ แต่ความรู้สึกใจคอไม่ดีตอนนี้มันคืออะไรกัน
หานลี่กดหน้าอกที่แน่นอึดอัดอยู่บ้าง เขาเงยหน้ามองสาวใช้ประคองถาดอาหารมื้อดึกเข้ามา ก่อนจะเบือนหน้าไปเรียกหานสืออวี้ให้ยกเข้าไปในห้อง ยังกระซิบสอนนางให้พูดกล่อมหลูซื่อให้กินอะไรบ้างเช่นไร แต่ไม่คิดว่าตนเองก็ท้องว่างมาทั้งวัน
หลูซื่อหิวจนหายหิวแต่แรก จิตใจของนางจดจ่ออยู่ที่ตัวบุตรสาวจนหมดสิ้น ไหนเลยจะมีความอยากอาหาร ทว่านางยังคงถูกคะยั้นคะยอให้ฝืนใจกินไปหลายคำ ครั้นเห็นผิงถงยกยาต้มมาอีก นางก็วางชามกับตะเกียบลง พยุงอี๋อวี้ลุกขึ้น หยิบช้อนคันเล็ก ให้ผิงฮุ่ยงัดปากอี๋อวี้แล้วป้อนทีละคำ