บทที่ 2 แย่งบุรุษเอาดื้อๆ
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้มีนิสัยข่มใจอดกลั้นเก่งมาแต่กำเนิด ทว่าเมื่อนานมาแล้วนางเคยถีบเสิ่นกุยหย่าครั้งหนึ่ง เวลานั้นพี่ชายคนรองอยู่ไกลถึงจิงโจว ฉินอี๋เหนียงถูกคนหามออกไปโยนลงสระบัวในจวนกลางดึกที่อากาศหนาวจัด เป็นเหตุให้ล้มป่วยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
น่าหัวร่อตรงที่ไม่มีใครในเรือนมารดาสักคนที่รู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใด
เสิ่นกุยหย่าเหยียดยิ้มถามพลางขวางนางไว้ตรงชั้นล่างของหอนางแอ่น ‘อยากลองถีบข้าดูอีกสักครั้งหรือไม่เล่า’
เสิ่นกุยเยี่ยนไปคุกเข่าหน้าห้องหนังสือของบิดา ขอความเป็นธรรมจากนายผู้เฒ่าเสิ่น แต่นายผู้เฒ่าเสิ่นกลับเพียงแค่ประคองนางขึ้นมาแล้วบอกว่าหย่าเอ๋อร์ไม่มีทางประพฤติตัวร้ายกาจถึงเพียงนั้น ครั้นพอไปร้องทุกข์กับเสิ่นฮูหยิน นางยังถูกตบหน้ามาอีกสองทีเสียอย่างนั้น
เสิ่นฮูหยินกล่าวว่า ‘หากเจ้ายังใส่ไคล้หย่าเอ๋อร์ให้ต้องมัวหมองอีก อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีเจ้าก็แล้วกัน’
ในที่สุดเสิ่นกุยเยี่ยนก็แจ้งแก่ใจว่าในจวนแห่งนี้ นางไม่มีวันงัดข้อชนะเสิ่นกุยหย่า
เช่นนั้นก็ทนเอาแล้วกัน ทนจนกว่าจะได้ออกเรือน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจนนางจวนจะออกเรือนอยู่แล้ว เสิ่นกุยหย่าก็ยังไม่เลิกราวีนาง
หลังพวงแก้มเสิ่นกุยเยี่ยนบวมเป่ง เสิ่นกุยหย่าค่อยสาแก่ใจและปล่อยนางไปเสียที อีกฝ่ายหันไปกอดน้องชายคนที่หกพลางหัวเราะชอบใจ “ดูสิกุยเหวิน ตอนนี้พี่สามของเจ้าหน้าบวมเหมือนหมูเลยใช่หรือไม่”
ที่ผ่านมาเสิ่นกุยเหวินเอาแต่ยืนมองเงียบๆ ไม่ได้ยิ้มสักนิด ครั้นได้ยินคำถามก็เพียงแค่พยักหน้าแล้วตอบเบาๆ “เหมือนมาก แต่ว่านะพี่ห้า หากท่านพ่อเอาเรื่อง ท่านจะทำเช่นไร”
“ทำเช่นไร” เสิ่นกุยหย่าหัวเราะลั่น “ท่านพ่อจะทำอะไรข้าได้เล่า ในเมื่อมีท่านแม่คุ้มศีรษะอยู่ทั้งคน ข้าจะต้องกลัวไปไย พรุ่งนี้นางออกไปเจอหน้าใครไม่ได้แน่ๆ หากยังกล้าไปฟ้องล่ะก็…”
เด็กสาวเว้นช่วงแล้วยกแขนกอดตนเองทำท่าหนาวสั่น “กลางฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากพลัดตกลงไปในสระบัวจะล้มป่วยหรือไม่ หือ?”
เป่าซั่นตาแดงก่ำ สลัดตัวจนหลุดจากพันธนาการของบ่าวที่จับตัวนางไว้ แล้วถลาเข้าไปประคองคุณหนูของตน
เสิ่นกุยหย่าเดินยิ้มพาน้องชายจากไปแล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนถึงค่อยยกมือลูบแก้มตนเอง สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “เป่าซั่น กลับกันเถิด”
“คุณหนู…” เป่าซั่นร้องไห้ออกมาอย่างสุดทน “บ่าวนึกว่าในที่สุดพวกเราก็รอจนได้อยู่อย่างสบายแล้วเสียอีก ไม่คิดเลยว่าคุณหนูห้าจะยังโหดร้ายถึงเพียงนี้ แล้วพรุ่งนี้จะทำอย่างไรดีเล่าเจ้าคะ หากคุณชายกู้มาด้วยตนเองแล้วไม่ได้พบกับคุณหนู…”
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” เพียงแค่คิดถึงกู้เจาตง หัวใจของเสิ่นกุยเยี่ยนก็เกร็งเครียดขึ้นเล็กน้อย “ข้าคงได้แต่เขียนกลอนให้เจ้าช่วยนำไปมอบให้เขานั่นล่ะ”
ไม่ได้พบคนผู้นั้นมานานเหลือเกินแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะได้พบกันทุกปี แต่นับจากครั้งก่อนก็ไม่ได้เจอกันมากว่าครึ่งปีแล้ว เสิ่นกุยหย่าน่าจะไปเห็นเขาที่ใดสักแห่ง หาไม่จู่ๆ คงไม่กระเหี้ยนกระหือรืออยากแต่งงานด้วยราวกับถูกผีเข้าเช่นนี้
กู้เจาตงเป็นบุรุษที่สตรีสามารถฝากฝังชีวิตไว้ได้อย่างแท้จริง เขาต่างไปจากคุณชายตระกูลใหญ่คนอื่นๆ เล่าเรียนบทกวีจนแตกฉาน กลอนทุกบทที่เขียนล้วนแต่ถูกใจนางทั้งสิ้น นางมีใจให้เขามานานแล้ว ซึ่งก็ต้องขอบคุณฟ้าดินที่ดลบันดาลจังหวะอันเหมาะสมให้ท่านอัครเสนาบดีได้พบนางในจวนพอดีจนนำไปสู่บุพเพในครานี้
ความเจ็บบนผิวหน้าคล้ายจะเลือนหายไปเพียงแค่คิดถึงเขา เสิ่นกุยเยี่ยนเดินอมยิ้มกลับหอนางแอ่นของตน ก่อนให้เป่าซั่นหยิบยามาทาให้ จากนั้นก็เอนกายลงนอน
‘กลอนหญิงงามแย้มยิ้มเอนอิงหอบทนี้ช่างไพเราะนัก ใคร่ขอเรียนถามคุณชายว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร’
‘ผู้น้อยกู้เจาตง’
กระทั่งนั่งเอามือเท้าคางหวนนึกถึงยามแรกพบในหอน้ำหมึกวันนั้น เสิ่นกุยหย่ายังอดฉีกยิ้มเห็นไรฟันอย่างเคลิบเคลิ้มไม่ได้
คนผู้นั้นช่างหล่อเหลาสง่างาม แม้จะประสานมือคำนับผู้อื่น ทว่าความผ่าเผยก็ไม่ได้ด้อยลงเลย ขนาดอีกฝ่ายเป็นเพียงบัณฑิตไส้แห้ง เขาก็ยังปราศรัยด้วยอย่างสุภาพนุ่มนวล ทำเอาคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์นับไม่ถ้วนในบริเวณนั้นหันไปซุบซิบวิจารณ์กันเบาๆ
ใครได้แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลกู้เช่นเขาถือว่าสะสมผลบุญมาแปดชาติเลยทีเดียว
แต่พอคิดว่าสตรีวาสนาดีผู้นั้นคือเสิ่นกุยเยี่ยนที่ตนชังน้ำหน้ามาโดยตลอด รอยยิ้มของเสิ่นกุยหย่าก็หุบหายทันควัน
นางจะปล่อยให้การแต่งงานครานี้สำเร็จลุล่วงไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีทำอะไรสักอย่าง
วันที่สกุลกู้มาขอชื่อและเวลาตกฟากฝ่ายหญิงมาถึงแล้ว กู้เจาตงมากับแม่สื่อจริงๆ เขาไปคารวะนายผู้เฒ่าเสิ่นกับฮูหยินสกุลเสิ่นก่อน ยิ้มแย้มพูดคุยด้วยท่วงท่างามสง่า ผู้ใดพบเห็นล้วนต้องพยักหน้าชื่นชม
เสิ่นกุยเยี่ยนใบหน้ายังไม่หายบวม ไหนเลยจะออกมาพบเขาได้ เป่าซั่นถือบทกลอนมาให้ กู้เจาตงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางถามเบาๆ “เยี่ยนเอ๋อร์เล่า”
สาวใช้เม้มปากพลางสั่นหน้า “คุณหนูป่วยเจ้าค่ะ ได้แต่ส่งกลอนบทนี้มาให้คุณชาย ขอคุณชายอย่าได้ถือโทษ”
เขาเม้มปากคลี่กลอนออกดู ในนั้นเขียนไว้ว่า
‘หากท่านพี่เป็นศิลาตั้งตระหง่าน ขอนงคราญเป็นดอกหญ้าขึ้นเกาะหิน’