“เสด็จแม่ไม่ต้องกลัว นี่เป็นยาหมาเฟ่ยส่าน* แบบขี้ผึ้งเท่านั้น เสด็จแม่จะเพียงพระชิวหาชา ทรงคิดอ่านได้ไม่กระจ่างชัด ไม่ใช่ยาพิษแต่อย่างใด” กู้เจาเป่ยอธิบายให้ฟังอย่างเอื้อเฟื้อ “มีหรือลูกจะวางยาพิษปลงพระชนม์เสด็จแม่ลง หากเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ไป คนสกุลเหวินก็มาคิดบัญชีกับลูกสิ พระอัยกาเหวินบิดาของเสด็จแม่มีทหารอยู่ในมือถึงเพียงนั้น ลูกยังมีเรื่องต้องพะวงอยู่”
เหวินไทเฮาโกรธจัด ทว่าเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ศีรษะก็เริ่มหนักอึ้ง ทำได้เพียงถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเดือดดาลเท่านั้น
“ลูกยังพูดไม่จบ ให้คนนอกได้ยินจะไม่ดี เพราะนี่เป็นความลับของราชวงศ์” กู้เจาเป่ยมองนาง “องค์ชายหกถูกแทงทะลุท้องสินะ กระบี่เล่มนั้นมีนามว่า ‘ชื่อชิง’ เป็นยอดกระบี่ที่คมกริบอย่างยิ่ง หลังลอบสังหารองค์ชายหกแล้ว กระบี่เล่มนั้นถูกทางวังหลวงยึดไว้ ลูกเพิ่งหาเจอเมื่อเร็วๆ นี้เอง กำลังคิดอยู่ทีเดียวว่าจะถวายเสด็จแม่เป็นที่ระลึกดีหรือไม่”
เสิ่นกุยเยี่ยนทนมองภาพตรงหน้าต่อไปไม่ไหวจึงหันหน้าไปอีกทาง กู้เจาเป่ยจงใจขยี้แผลเหวินไทเฮา ภาพสตรีมีอายุนอนตัวสั่นเทิ้มอยู่บนเตียงด้วยความโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ เสิ่นกุยเยี่ยนมองแล้วรู้สึกว่าช่าง…
ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้
นางรีบไปยกม้านั่งมาตั้งตรงมุมที่เห็นอากัปกิริยาของเหวินไทเฮาได้ชัดที่สุด แล้ววางป้ายวิญญาณของจวงเฟยกับครอบครัวซื่อสี่ลงบนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อม
วิญญาณผู้วายชนม์ได้เห็นภาพนี้ก็น่าจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายสินะ
กู้เจาเป่ยบรรยายให้เหวินไทเฮาฟังโดยละเอียดทีละขั้นทีละตอนว่าวางแผนฆ่ารัชทายาทอย่างไร จากนั้นก็ขอบคุณนางที่ช่วยประคับประคองตนมาตลอดทาง
กว่าจะฟังมาถึงตอนท้ายๆ เหวินไทเฮาก็หมดสติไม่สมประดี กู้เจาเป่ยเอื้อมมือไปบีบร่องเหนือริมฝีปากของอีกฝ่าย ปลุกนางขึ้นมาแล้วพูดต่อ “ลูกยังพูดไม่จบเลย”
ในที่สุดเหวินไทเฮาก็มีอาการลมกักเพราะท่วงท่าการบรรยายอันเห็นภาพสมจริงของกู้เจาเป่ย สติของนางขาดหาย มุมปากบิดเบี้ยว เอ่ยอะไรออกมาไม่ได้อีก
กู้เจาเป่ยมองนางนอนกระตุกอยู่สักพักก็ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างเสิ่นกุยเยี่ยนแล้วค้อมศีรษะน้อยๆ ให้ป้ายวิญญาณบนม้านั่ง “พอแล้วล่ะ”
ตอนที่ได้ยินสามีบอกว่าเขามีวิธีทำให้เหวินไทเฮาล้มป่วยตามธรรมชาติ ไม่สามารถพูดจาได้อีก นางยังนึกฉงนสงสัยว่าเขาจะใช้ยาพิษประหลาดๆ อะไรเสียอีก
ไม่นึกเลยว่าจะพูดยั่วโมโหจนเหวินไทเฮาเป็นโรคลมกักไปต่อหน้าต่อตา
เป็นอย่างไรเล่า เหวินไทเฮาบอกว่าจะออกคำสั่งปลดข้าไปอยู่ตำหนักเย็น ทีนี้ก็ทำไม่ได้อีกแล้ว
ถึงได้บอกว่าคนเรานั้นหากใจคอคับแคบเกินไปก็เท่ากับทรมานตนเอง มีแต่จะโมโหจนลมจุกอกให้คนอื่นสะใจเล่นเท่านั้น
กู้เจาเป่ยจับมือนางพลางบอกอย่างอ่อนโยน “เอามืออุดหูไว้นะ”
นางมองเขาอย่างกังขา แต่กระนั้นก็ยังยกมือขึ้นปิดหูตามที่เขาบอก
กู้เจาเป่ยลุกขึ้นยืน สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ผนึกลมปราณไว้ที่ท้องน้อยแล้วตะโกนดังลั่น “เสด็จแม่!”
ขนาดอุดหูเอาไว้ยังสะดุ้งโหยง ส่วนเหวินไทเฮาผู้นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงสะท้านเฮือกหนึ่ง กู้เจาเป่ยถลาไปเกาะขอบเตียงอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบแล้วร้องไห้โฮ
ประตูห้องถูกผลักออก ฟางหวาหมัวมัวนำองครักษ์วิ่งกรูเข้ามาก่อนมองเจ้านายอย่างตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้น”
กู้เจาเป่ยร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจ “ลูกก็แค่บอกว่ายินดีให้เสด็จแม่ทรงกุมอำนาจในราชสำนักอีกครั้ง เสด็จแม่ดีพระทัยมากจนถึงกับทรงหมดพระสติไปเชียวหรือ เร็ว! รีบไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วตำหนักบูรพา หัวหน้าสำนักหมอหลวงกัวมาดูอาการด้วยตนเอง พอวินิจฉัยว่าเหวินไทเฮาเป็นโรคลมกัก ฟางหวาหมัวมัวก็เหลือบตามองฮ่องเต้
กู้เจาเป่ยทอดถอนใจอย่างเศร้าเสียดาย “เราก็ไม่อยากเห็นเสด็จแม่ทรงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน แต่จะทำอย่างไรได้ เสด็จแม่ทรงล้มไปเช่นนี้มีแต่ต้องยกอำนาจฝ่ายในให้เหนียนไทเฮาทรงปกครองเท่านั้น ส่วนงานต่างๆ ของฝ่ายหน้าเราจะจัดการให้ดีเอง”
พระองค์เป็นผู้ทำให้ไทเฮาโมโหจนเป็นโรคลมกักชัดๆ! ฟางหวาอยากก้าวออกมาเปิดโปงเหลือเกิน แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าไทเฮาพูดจาไม่ได้แล้ว ส่วนนางเป็นเพียงนางกำนัลผู้หนึ่ง พูดไปก็เปล่าประโยชน์ มีแต่จะหาข้ออ้างให้ฮ่องเต้ลงโทษนางด้วยซ้ำ
ดังนั้นฟางหวาหมัวมัวจึงปิดปากเงียบ