กู้เจาเป่ยตวัดสายตามองหมัวมัวสูงวัย แล้วกำชับให้หมอหลวงดูแลเหวินไทเฮาให้ดี จากนั้นก็พาเสิ่นกุยเยี่ยนเดินออกไป
ระหว่างเดินออกจากตำหนักท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของทุกคน ฮ่องเต้มิได้รู้สึกร้อนตัวแม้แต่น้อย โรคอย่างลมกักนั้น ผู้ใดก็ควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้นถูกต้องหรือไม่ ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าเป็นฝีมือเขาหรอก วิธีนี้ใช้ได้ดีกว่าการใช้ยาพิษมากนัก
เสิ่นกุยเยี่ยนอุ้มป้ายวิญญาณให้กู้เจาเป่ยโอบเอวพาเดิน เมื่อออกจากอาณาเขตตำหนักบูรพามาถึงถนนในวังหลวงที่ว่างเปล่าไร้คน บุรุษข้างกายก็หันมากอดนางไว้แน่นจนลมหายใจอุ่นร้อนพวยพุ่งมากระทบใบหู
“เยี่ยนเอ๋อร์ ข้าทำสำเร็จแล้ว”
นางชะงัก อุ้มป้ายวิญญาณเต็มสองมือยืนไม่ถนัด แต่คนผู้นี้กลับกอดนางแน่นไม่ยอมปล่อย
“ตาแก่อย่างเสด็จพ่อตั้งตารอวันนี้มานานแล้ว ข้าก็ด้วย นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าสามารถทำสิ่งที่อยากทำ เอาใจคนที่อยากเอาใจได้แล้ว”
เพียงแค่ฟังยังเบิกบานตามไปด้วย เสิ่นกุยเยี่ยนยืนยิ้มปล่อยให้เขากอด รู้สึกอุ่นอวลในใจ การรอคอยอันยาวนานมิได้สูญเปล่า เขาไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ
กู้เจาเป่ยเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยดวงตาพราวระยับ จังหวะที่กำลังจะก้มหน้าประทับจุมพิตบนกลีบปากนุ่ม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“ฝ่าบาท”
ทั้งคู่หันไปมอง เห็นฮวาผินเดินฉับๆ เข้ามาอย่างเร่งร้อน ท่าทางประดักประเดิดกับสภาพของทั้งคู่อยู่เล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้ารายงาน “เมื่อครู่หม่อมฉันยืนอยู่ด้านนอกตำหนักบูรพามาพักหนึ่ง เห็นฟางหวาหมัวมัวถือป้ายตำหนักบูรพาเดินออกมา ดูจากทิศทางน่าจะออกจากวังหลวงเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนใจเต้นแรง ขณะที่กู้เจาเป่ยเม้มปาก “เข้าใจแล้ว อีกประเดี๋ยวราชบัณฑิตฟู่กับแม่ทัพอวี่เหวินจะต้องเข้าวังหลวง เราเตรียมการไว้รับมือแล้ว”
ไทเฮาล้มป่วยด้วยโรคลมกักย่อมสร้างคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในราชสำนัก ราชบัณฑิตฟู่จะต้องมาดูแน่
คนจากต่างแคว้นใกล้มาถึงแล้ว หากมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าเขาทำร้ายเหวินไทเฮาจะแย่กันไปใหญ่ สู้เปิดประตูตำหนักบูรพาให้ทุกคนเข้าไปเยี่ยมไข้ได้จะดีกว่า
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าไปที่ตำหนักอุดรก่อน” เขาหันไปบอกเสิ่นกุยเยี่ยน “ข้าจะไปรอที่ห้องทรงพระอักษรกับฮวาผิน”
“เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนค้อมศีรษะพลางย่อกายคารวะฮ่องเต้ แล้วอุ้มป้ายวิญญาณออกเดินต่อ
ถึงจะเสียดายอยู่บ้างที่พลาดจุมพิตอันอ่อนโยน แต่อย่างไรเสียเหวินไทเฮาก็ถูกโค่นแล้ว ต่อไปยังมีโอกาสอีกมาก
เป่าซั่นมารออยู่ข้างหน้า หลังรับป้ายวิญญาณไปตั้งให้เรียบร้อยก็ประคองเสิ่นกุยเยี่ยนเดินไปที่ตำหนักเหนียนไทเฮาอย่างตื่นเต้นร่าเริง
“วันนี้ดวงวิญญาณของคนมากมายในตำหนักซิ่วจวงที่ต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมคงหายคับแค้นแล้วนะเจ้าคะ นายหญิงก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีคนคอยขัดขวางไม่ให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านอีกต่อไปแล้ว”
เสิ่นกุยเยี่ยนเหลือบมองสาวใช้แล้วส่ายหน้า “ไม่ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดหรอก”
“พอไม่มีเหวินไทเฮา ทุกอย่างก็เรียบง่ายขึ้นหมดไม่ใช่หรือเจ้าคะ” เป่าซั่นขมวดคิ้ว “หรือจะยังมีปัญหาใดอีก”
เสิ่นกุยเยี่ยนสั่นศีรษะก่อนกล่าวยิ้มๆ “บัลลังก์ที่ฝ่าบาทประทับมีปัญหารุมกลุ้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีเหวินไทเฮา ฝ่าบาทก็ไม่อาจทรงทำสิ่งที่อยากทำได้โดยอิสระ ฝ่าบาททรงทราบดีว่าต้องก้าวเดินอย่างไร”
เป่าซั่นทำหน้าม่อยพลางขยำพู่ห้อยเอว “บ่าวนึกว่านายหญิงจะได้ขึ้นไปมีตำแหน่งสูงส่งแล้วเสียอีก”
“หากก้าวเท้ายาวเกินไปจะเดินได้ไม่มั่นคง” เสิ่นกุยเยี่ยนมองตำหนักบูรพาที่อยู่เบื้องหน้า “ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า”
ขอเพียงกู้เจาเป่ยมีข้าอยู่ในใจ เห็นข้าสำคัญเหนือผู้อื่น อนาคตของข้าก็จะไร้ขีดจำกัด
ประตูตำหนักของเหนียนไทเฮาปิดสนิท มีองค์หญิงตวนเหวินยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ด้านนอก พอเห็นเสิ่นกุยเยี่ยนก็รีบเดินปรี่มาหา “กุยเยี่ยน รีบเข้าไปดูเสด็จแม่เร็ว หลังกลับจากราชสำนัก เสด็จแม่ก็ทรงปิดประตูขังพระองค์เองในตำหนักมาจนป่านนี้ ข้าพูดอย่างไรก็ไม่ทรงยอมเปิดประตูให้”
เสิ่นกุยเยี่ยนชะงัก วันนี้เหนียนไทเฮาได้ครองตำแหน่งไทเฮาอย่างเต็มภาคภูมิควรดีใจถึงจะถูกมิใช่หรือ