บทที่ 128 ไหนเล่าอิสรภาพ
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าข้างในตำหนักเงียบสงัด พอมองผ่านลวดลายแกะสลักบนบานประตูก็เห็นเหนียนไทเฮาคุกเข่าบนพื้นหน้าโต๊ะวางกระถางธูป ขมวดผมมุ่นมวย สวมชุดสีขาว
บนโต๊ะวางกระถางธูปตั้งแผ่นไม้เปล่าๆ ไว้แผ่นหนึ่ง หากเสิ่นกุยเยี่ยนจำไม่ผิดน่าจะมีไว้บูชาดวงวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ ด้วยระเบียบกฎเกณฑ์ทำให้ไม่อาจตั้งป้ายวิญญาณเองได้ จึงไม่กล้าสลักอะไรไว้บนแผ่นป้ายทั้งสิ้น
ที่ผ่านมาเสิ่นกุยเยี่ยนคิดว่าเหนียนไทเฮาคงไม่เศร้าเสียใจเท่าใดนัก ต่อให้อดีตฮ่องเต้เสด็จสู่สรวงสวรรค์ ราชสำนักแปรปรวน ช่วงที่ยังทำงานอยู่ในตำหนักอุดร นางไม่เคยเห็นเหนียนไทเฮาแสดงอารมณ์ใดออกมาทางสีหน้าเป็นพิเศษ จึงคิดไปว่าความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่ออดีตฮ่องเต้มิได้ลึกซึ้งมากมาย ภายในวังหลวงที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีของเหล่าสตรี ฮ่องเต้มีหญิงงามนับไม่ถ้วนห้อมล้อม จะหาความรักที่มีเพียงใจเดียวจากที่ใดได้
ทว่าเวลานี้เหนียนไทเฮากำลังคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะวางกระถางธูปในอาภรณ์เรียบง่ายไร้ความวิจิตร ดูไม่เหมือนไทเฮาผู้มีชีวิตอันสูงส่งหรูหราแม้แต่น้อย กลับดูอ้างว้างไร้ที่พึ่งพิง เหมือนเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวังหลวงมากกว่า
ฝ่ายนั้นเอ่ยขึ้น “ท่านมันคนเห็นแก่ตัว”
เหนียนไทเฮาพูดกับแผ่นไม้นั้นโดยไร้คำเรียกขาน ทว่ากลับทำให้ตวนเหวินที่อยู่ด้านนอกตาแดงก่ำ
“คนตายต้องกลัวอะไรเล่า ความเจ็บปวดทั้งหมดตกอยู่กับคนที่ยังต้องมีชีวิตต่อไปต่างหาก ท่านรักข้ามาทั้งชีวิต ข้าเองก็รักท่านมาทั้งชีวิต แต่ในตอนสุดท้ายท่านกลับไม่ยอมให้ข้าร่วมทางไปกับท่านด้วย”
เสียงแหบพร่านั้นพึมพำแผ่วหวิว คล้ายวันวานในวัยสะพรั่งที่เคยแย้มยิ้มอิงอกเขา กระซิบข้างหูกันเบาๆ
“ท่านทราบได้อย่างไรว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือชีวิตหรูหราสูงส่ง…ไม่ใช่ท่าน”
เหนียนไทเฮาเงยหน้า หยาดน้ำตาร่วงพรู มองป้ายไม้เปล่านั้นด้วยสีหน้าขมขื่นร้าวราน คล้ายคั่งแค้นและเจ็บปวดระคนกัน
ตอนเขาจากไป นางไม่ได้อยู่ข้างกายด้วยซ้ำ ใช่ว่านางไม่อยากไปอยู่กับเขา แต่เขาไม่ยอมให้นางไป
เวลานี้โอรสของเขาและนางรู้จักวางแผนดำเนินกลยุทธ์เก่งกว่าเขามาก มิหนำซ้ำเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็สามารถชิงอำนาจจากมือเหวินไทเฮาได้แล้ว เขาที่มองลงมาจากสวรรค์คงจะมีความสุขสินะ แต่นางเล่า นางไม่มีความสุข บุรุษที่รักจากไปแล้ว ทิ้งนางให้เดียวดายอยู่ในตำหนักแห่งนี้คนเดียว ภาพที่เห็นเมื่อหลับฝันกลางดึกล้วนแต่เป็นฉากที่นางกับเขาเคยอยู่ร่วมกันทั้งสิ้น แล้วจะให้นางมีความสุขได้อย่างไร
เสียงสะอื้นดังลอดประตูหน้าต่างออกมาด้านนอกแผ่วๆ
เสิ่นกุยเยี่ยนชะงัก แล้วถอยออกมาสองสามก้าว ตวนเหวินกัดฟันคว้าแขนนางแล้วหมุนตัวลากไปที่สวนดอกไม้ด้วยกัน
ข้าช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย เสด็จแม่ทรงกำลังเศร้าโศก จะไปรบกวนได้อย่างไร
สมัยเด็กๆ ตวนเหวินเคยเห็นภาพความรักใคร่ระหว่างอดีตฮ่องเต้กับเหนียนไทเฮามาไม่น้อย กระทั่งตนเองคิดถึงยังอดปวดใจไม่ได้ นางลากเสิ่นกุยเยี่ยนออกมาจากตรงนั้นแล้วยืนในสวนดอกไม้อยู่พักใหญ่กว่าอารมณ์จะสงบลง
“วันนี้วันมงคลแท้ๆ แต่ตำหนักในกลับอึมครึมเสียจริง” ตวนเหวินเบ้ปาก “ทุกคนควรดีใจไปกับเสด็จพี่ไม่ใช่หรือ แผนการปกครองใหม่เริ่มทดลองใช้แล้ว นับจากนี้ไปจะไม่มีผู้ใดในแผ่นดินกล้าดูถูกเขาอีก”
เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “ควรดีใจไปกับฝ่าบาทจริงๆ นั่นล่ะเพคะ แต่เหวินไทเฮาประชวรด้วยโรคลมกัก ส่วนเหนียนไทเฮาก็ทรงโศกเศร้าถึงเพียงนี้ ทุกคนเลยร่าเริงไม่ออก ไว้คณะทูตจากต่างแคว้นเข้าราชสำนักมาถวายราชบรรณาการคงจะมีงานเลี้ยงสนุกๆ ให้ได้รื่นเริงเฉลิมฉลองกัน”
แต่ประเด็นสำคัญที่เข้าหูตวนเหวินกลับมิใช่งานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากต่างแคว้น นางเบิกตากว้าง “เหวินไทเฮาทรงเป็นโรคลมกัก?”
“เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “พูดจาไม่ได้ ได้แต่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง”
กรรมตามสนองแล้ว! ในใจตวนเหวินมีเพียงประโยคนี้