สูญเสียอำนาจในราชสำนักแล้วยังเป็นโรคลมกัก จะรักษาให้หายได้หรือไม่นั้นพักไว้ก่อน แต่ด้วยความสามารถของเสด็จพี่ ต่อให้เหวินไทเฮาหายประชวรได้จริง กว่าจะถึงเวลานั้นแผ่นดินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
ตวนเหวินปรบมือเบาๆ ในตอนนั้นตนเองตาแหลมไม่ใช่เล่น คนจุกจิกช่างเลือกอย่างนางถึงไปถูกใจกู้เจาเป่ยได้
แม้จะเป็นพี่ชายร่วมบิดาก็ตาม
“เสด็จแม่เหวินทรงเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดมาเร่งรัดให้ข้าออกเรือนแล้ว” ตวนเหวินยิ้ม “ตอนแรกเสด็จแม่เหวินยังตั้งพระทัยจะหาราชบุตรเขยให้ข้าตอนคณะทูตจากต่างแคว้นมามอบเครื่องราชบรรณาการอยู่เลย”
เสิ่นกุยเยี่ยนเลิกคิ้ว “พวกคนต่างแคว้นอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันหลี่ เวลานี้บ้านเมืองก็แข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นี่เพคะ”
“ก็ไม่จำเป็นหรอก” ตวนเหวินร้องหึเบาๆ “แต่หากออกเรือนไปอยู่ไกลโพ้น อำนาจทางการทหารในมือข้าก็ต้องกลับไปอยู่ในมือไหวหนานอ๋องดังเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้เสด็จพี่ก็จะมีกำลังหนุนน้อยลงอย่างไรเล่า”
นี่เป็นแผนการแต่เดิมของเหวินไทเฮา แต่เสด็จพี่ของนางเฉียบขาด ยึดคติจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน พุ่งเป้าเล่นงานเหวินไทเฮาโดยตรง ปัญหาต่างๆ จึงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
เสิ่นกุยเยี่ยนระบายยิ้มบางๆ อดภาคภูมิใจไม่ได้ที่มีสามีฉลาดเฉียบแหลมถึงเพียงนี้
“จริงสิ ในเมื่อเสด็จแม่เหวินทรงนอนแน่นิ่งตรัสอะไรไม่ได้ เสด็จพี่ก็น่าจะทรงแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาได้แล้วกระมัง” ตวนเหวินยิ้มละไม “ในพิธีสถาปนาฮองเฮา ข้าจะรับหน้าที่อารักขาเจ้าเอง”
“ยังเร็วไปเพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนส่ายหน้า “ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที”
เหวินไทเฮาล้มลงแล้วก็จริง แต่อำนาจที่หลงเหลือยังไม่หมดไปเสียทีเดียว ประกอบกับต้องรอต้อนรับคณะทูตจากต่างแคว้น ต่อให้กู้เจาเป่ยมีใจจะแต่งตั้งนางจริงก็น่าจะต้องรอช่วงกลางปีกระมัง
“มองตาก็รู้แล้วว่าเจ้ากำลังคิดถึงเสด็จพี่แน่ๆ” ตวนเหวินขยิบตาอย่างทะเล้นซุกซน “ข้าไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาแล้ว กลับไปอยู่กับเสด็จพี่เถิด ทางด้านเสด็จแม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า คืนนี้เป็นคืนที่น่ายินดีของเจ้ากับเสด็จพี่ต่างหาก”
ใบหน้าเนียนแดงวาบ เสิ่นกุยเยี่ยนถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเคืองๆ คราหนึ่ง ขณะที่องค์หญิงตวนเหวินวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก
คืนนี้หรือ ความจริงลองนับดูก็ใช่เสียด้วย หลังจากที่นางตั้งครรภ์ หมอหลวงบอกว่าสามเดือนแรกจะร่วมเตียงไม่ได้ อีกทั้งที่ผ่านมากู้เจาเป่ยยังยุ่งอยู่กับการวางกลยุทธ์ เขาและนางจึงไม่ได้ชิดใกล้กันมานานเต็มทีแล้ว
เสิ่นกุยเยี่ยนหมุนตัวเดินกลับตำหนักซิ่วจวงด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก ในใจวางแผนเตรียมไว้ ตั้งใจว่ากลับไปจะเตรียมตัวให้ดี
ทางด้านกู้เจาเป่ยกำลังยืนอยู่ในตำหนักบูรพาโดยมีฮวาผินเคียงข้าง ราชบัณฑิตฟู่กับอวี่เหวินฉางชิงมาดูอาการเหวินไทเฮาแล้วต่างเงียบขรึมทั้งคู่
“เราจะปรนนิบัติดูแลเสด็จแม่ให้ดี” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ขุนนางรักทั้งสองวางใจได้”
ราชบัณฑิตฟู่รู้อยู่เต็มอกว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้ แต่จนใจที่หมอหลวงตรวจแล้วไม่พบเหตุผิดปกติ เขาจึงไม่มีหลักฐานเอาผิดได้
“กระหม่อมจะไปหารือกับพระมาตุลาเหวินเรื่องถวายปรนนิบัติไทเฮาก่อน แล้วค่อยมาถวายรายงานฝ่าบาทในวันพรุ่งนี้” ราชบัณฑิตฟู่ค้อมคำนับแล้วหันไปมองอวี่เหวินฉางชิง “ท่านแม่ทัพอวี่เหวินจะออกจากวังหลวงพร้อมกับข้าหรือไม่”
“แน่นอน” แม่ทัพหนุ่มหลุบตาลง “ฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา”
“กระหม่อมทูลลา” ราชบัณฑิตฟู่ค้อมคำนับด้วยเช่นกัน
กู้เจาเป่ยพยักหน้า มองจนทั้งคู่เดินออกไปแล้วจึงค่อยพาฮวาผินกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร