ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง เล่ม 4 บทที่ 127-128
“ไทเฮาประชวรด้วยโรคลมกักเสียแล้ว พวกเราควรทำเช่นไรดี” ความกลัดกลุ้มกระจายเต็มใบหน้าผู้สูงวัย “พระอัยกาเหวินอยู่ไกลนับพันหลี่ ส่วนพระมาตุลาเหวินก็เป็นหัวเรือใหญ่ให้ไม่ได้ ท่านแม่ทัพอวี่เหวินคิดเห็นประการใด”
อวี่เหวินฉางชิงทำหน้าจริงจัง “ก่อนที่ไทเฮาจะทรงกลับมาแข็งแรงดังเดิม พวกเราสองคนทำได้เพียงรับมือไปพลางๆ ก่อน ไม่มีทางเลือกอื่น ผู้น้อยจะแนะนำคนที่ทูลเสนอไทเฮาในคราก่อนแก่พระอัยกาเหวินโดยเร็วที่สุด ไว้คนผู้นั้นได้รับตำแหน่งสำคัญและไทเฮาทรงแข็งแรงขึ้นแล้ว การจะทำให้ราชสำนักกลับคืนสู่สภาพเดิมย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
ราชบัณฑิตฟู่ลูบเคราพลางขมวดคิ้ว “ตอนไปสังเกตเสิ่นซื่อที่จวนสกุลกู้แทนไทเฮาในอดีต ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าสตรีผู้นี้โดดเด่นกว่าผู้อื่น อาจมีดวงส่งเสริมสามีจริงๆ ก็ได้”
ก็สามารถส่งเสริมคุณชายจอมเสเพลเยี่ยงกู้เจาเป่ยจากคนเหลวไหลไม่เอาไหนจนกลายเป็นฮ่องเต้ได้นี่นะ
ซ้ำยังเป็นฮ่องเต้ที่กุมอำนาจแท้จริงอีกด้วย
อวี่เหวินฉางชิงชะงักก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ราชบัณฑิตผู้สูงส่งอย่างท่านก็เชื่อข่าวลือในหมู่ชาวบ้านด้วยหรือ”
“ไม่เชื่อไม่ได้จริงๆ” ขุนนางชราหรี่ตา “ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ข้าก็เห็นว่าจะปล่อยให้เสิ่นกุยเยี่ยนเป็นฮองเฮาไม่ได้ แต่เดิมเหวินไทเฮาก็ทรงสกัดปิดทางนางมาตลอด พวกเราควรสืบสานพระเจตนารมณ์ต่อไป”
คนด้อยปัญญาก็คือคนด้อยปัญญา เรื่องระดับบ้านเมืองแท้ๆ กลับโยนให้เป็นความผิดของสตรีผู้หนึ่งทั้งหมด อวี่เหวินฉางชิงยังคงประดับรอยยิ้มบนใบหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “ใต้เท้าฟู่ประสงค์จะทำอย่างไร ผู้น้อยไม่มีความเห็นเป็นอื่นทั้งสิ้น เช่นนั้นเรื่องในกองทัพ…”
“ข้ามันขุนนางบุ๋น ไม่ใช่แม่ทัพนายกอง” อีกฝ่ายยิ้ม “งานฝ่ายบุ๋นข้าจะจัดการเอง งานฝ่ายบู๊ขอยกให้ท่านแม่ทัพอวี่เหวินกลัดกลุ้มก็แล้วกัน”
“ได้ขอรับ” อวี่เหวินฉางชิงล้วงจดหมายแนะนำออกจากอกเสื้อ แล้วมองราชบัณฑิตฟู่ “ผู้น้อยยืนยันเรื่องนี้เพียงคนเดียว พระอัยกาเหวินคงไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง ต้องรบกวนให้ใต้เท้าฟู่ช่วยประทับลายนิ้วมือบนจดหมายฉบับนี้อีกคน จะได้ส่งออกไปในวันพรุ่งนี้”
“ไม่มีปัญหาๆ” เนื่องจากร่วมงานกันมาหลายปี ราชบัณฑิตฟู่จึงไม่ระแวงสงสัยแม่ทัพหนุ่มแต่อย่างใด พอรับจดหมายมาแล้วก็ประทับลายนิ้วมือลงไป
“ใต้เท้าฟู่ฟู่ค่อยๆ เดินนะขอรับ ดูท่าผู้น้อยจะทำกระบี่คู่ใจตกที่ตำหนักบูรพา ต้องขอกลับไปเอาก่อน” อวี่เหวินฉางชิงรับจดหมายมาเก็บไว้แล้วรั้งฝีเท้าพลางกล่าวยิ้มๆ
“ได้” ราชบัณฑิตฟู่มัวแต่ห่วงเหวินไทเฮา จึงหมุนตัวเดินออกไปก่อนโดยไม่ถามอะไรมาก
อวี่เหวินฉางชิงค่อยๆ เดินไปทางห้องทรงพระอักษรอย่างใจเย็น
“เจ้าทำความดีความชอบใดไว้ เราจำได้หมด” ภายในห้องทรงพระอักษร กู้เจาเป่ยกำลังทอดสายตามองฮวาผิน “ตอนที่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ หากเจ้าไม่ได้อยู่ในหอเงาบุปผาเมามัว เราคงไม่มีทางได้เป็นรองเสนาบดีกรมอาญาอย่างราบรื่น คิดๆ ดูแล้วตอนนั้นได้มีหน้ามีตาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว”
ฮวาผินเม้มปากมองเขา “หม่อมฉันเต็มใจทำเพคะ”
“บัดนี้การใหญ่ลุล่วงแล้ว เหลือแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เจ้ากับสีกุ้ยเหรินไม่ต้องอยู่ทำงานให้เราต่อไปแล้วล่ะ เราว่าถ้าอย่างไรมอบทองคำให้พวกเจ้าคนละหนึ่งพันตำลึง แล้วส่งพวกเจ้ากลับไปใช้ชีวิตที่เหลือที่บ้านเกิดดีหรือไม่”
ฮวาผินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ “ฝ่าบาททรงไม่ประสงค์ให้พวกหม่อมฉันอยู่ข้างพระวรกายแล้วหรือเพคะ”
กู้เจาเป่ยกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ใช่ว่าเราไม่อยาก แต่ตำหนักในไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับพวกเจ้า”
เห็นเขาทำเหมือนเสร็จเรื่องก็ถีบหัวเรือส่ง ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง* ทว่าความจริงแล้วไม่ใช่ เขาและพวกสตรีในหอเงาบุปผาเมามัวไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลย เพียงเห็นว่าพวกนางน่าสงสารจึงรับตัวไว้ให้อยู่ในหอเท่านั้น
หอเงาบุปผาเมามัวเป็นแหล่งข่าวที่เขาใช้เก็บความเป็นไปต่างๆ แม้บัดนี้จะได้ขึ้นครองราชย์ก็จะปิดที่นั่นทิ้งไม่ได้ กลับกันเขายังอยากฟังเรื่องราวจากปากพวกขุนนางมากขึ้น สตรีทุกคนที่อยู่ในนั้นเขาไม่เคยบังคับฝืนใจ เพียงแต่สุ่ยเซียนกับไป่เหอไม่อยากอยู่ที่นั่นต่อ เขาจึงรับเข้ามาอยู่ในวังหลวง
ไป๋หูจากไปแล้ว ตำหนักในไม่มีเหวินไทเฮาอีกต่อไป แต่ก็ยังมีสตรีอีกสารพัดรูปแบบ กู้เจาเป่ยยังรำลึกถึงบุญคุณที่มีต่อกัน ถึงได้ตั้งใจจะส่งพวกนางออกจากวังหลวง ให้นำทองคำไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีตามแต่ใจตนเองอยู่ข้างนอกไม่ดีกว่าหรือ
ทว่าฮวาผินมีความเห็นเป็นอื่น
ชีวิตหรูหราสุขสบายในวังหลวงนั้น คนที่เคยผ่านมากับตัวจะตัดใจจากไปลงหรือ มิหนำซ้ำพวกนางสามคนที่เข้าวังหลวง มีคนใดบ้างที่ไม่ได้มอบหัวใจให้กู้เจาเป่ยถึงตามเขาเข้ามาอยู่ในนี้
นางกับสีกุ้ยเหรินก็เจ็บปวดโศกเศร้าเช่นกันที่จวงเฟยมีอันเป็นไป แต่หากหัวใจอยู่ที่ฮ่องเต้เสียแล้ว ต่อให้ได้ทองคำไปใช้ชีวิตอิสระข้างนอกจะมีประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อหัวใจไม่เป็นอิสระก็มีแต่จะเฝ้าคิดถึงเขาไปชั่วชีวิต
“หม่อมฉันรับรองว่าจะไม่ทำตัวเกะกะฝ่าบาทกับเยี่ยนผินเด็ดขาดเพคะ” ฮวาผินกัดริมฝีปาก “ฝ่าบาทโปรดทรงเมตตาให้หม่อมฉันอยู่ในวังหลวงต่อไปด้วยเถิด”
กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วน้อยๆ “เรานึกว่าพวกเจ้าชอบอยู่ข้างนอกมากกว่าเสียอีก”
ที่พวกเราชอบมากกว่าคือพระองค์ต่างหาก
ประโยคนั้นแล่นขึ้นมาถึงริมฝีปาก แต่ฮวาผินไม่กล้าพูดออกมา ดวงตาฉ่ำคลอไปด้วยหยาดน้ำเมื่อช้อนมอง “ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตด้วยเถิดเพคะ!”
หลังจากลังเลอยู่สักพักกู้เจาเป่ยก็พยักหน้า เขาไม่ใช่คนรักเดียวใจเดียวอะไร แม้ตัวจริงจะไม่ได้เจ้าชู้เสเพลดังที่แสดงออก แต่ก็ไม่คิดว่าการมีสตรีอยู่ข้างกายมากมายจะเป็นสิ่งผิดบาปตรงที่ใด
* ลมกัก คือโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) แพทย์แผนจีนเปรียบอาการของโรคที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกับลมที่พัดแรงและแปรปรวน
* ยาหมาเฟ่ยส่าน เป็นชื่อของยาชาที่สกัดจากต้นกัญชา เชื่อกันว่าคนที่คิดค้นคือหมอฮว่าถัว (ฮัวโต๋ว) แพทย์ชื่อดังสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
* ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วก็ถีบหัวส่ง ลืมบุญคุณของผู้ที่เคยออกแรงเพื่อตน เฉกเช่นการฆ่าลาทั้งที่มันเพิ่งจะช่วยโม่แป้งเสร็จ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.