เมื่อด่าในใจไปแล้ว สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มจึงสุขุมเยือกเย็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังประสานมือคำนับอีกฝ่ายเสียด้วย
กู้เจาเป่ยตบบ่าเขายิ้มๆ เหมือนจะบอกว่า ‘พวกเราไม่ใช่คนอื่นคนไกลน่า’ ก่อนจะเอ่ย “แม่ทัพอวี่เหวินทำงานถูกใจเราเสมอ ครานี้มีกิจอันใดจะรายงานเล่า”
ประตูยังเปิดทิ้งไว้อยู่ อวี่เหวินฉางชิงไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ส่งจดหมายแนะนำที่เมื่อครู่ราชบัณฑิตฟู่ประทับลายนิ้วมือไปให้
“ไม่เลว” กู้เจาเป่ยจริงจังขึ้นเล็กน้อย “การกำจัดอำนาจของญาตินอกทำไม่สำเร็จภายในวันสองวันหรอก หวังเพียงแต่ว่าคนผู้นี้จะทำประโยชน์ให้ได้”
แม่ทัพหนุ่มยิ้ม “พี่ชายของเยี่ยนผินทั้งที จะแย่อย่างไรก็ไม่แย่เกินไปนักหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชะงัก เขม้นตามองนามนั้นอีกครั้ง
เสิ่นกุยอู่…เสิ่นกุยเยี่ยน…ท่าทางจะเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ เช่นนี้ยิ่งเบาใจเข้าไปใหญ่ กู้เจาเป่ยทำท่าจะไปตำหนักซิ่วจวงอย่างเบิกบาน “เรากำลังจะไปทวงรางวัลอยู่พอดี”
“ฝ่าบาท” ขันทีใหญ่สำนักพระราชวังเดินเข้ามาในจังหวะนั้นพอดีแล้วประสานมือบอก “ตามพระบัญชาของฝ่าบาทก่อนหน้านี้ สี่วันต่อเดือนของเยี่ยนผินถูกใช้ครบแล้วพ่ะย่ะค่ะ จวงเฟยสิ้นพระชนม์ไป ในวังหลวงยังมีตำหนักเสิ่นเฟยที่ฝ่าบาทต้องเสด็จไปห้าวันพ่ะย่ะค่ะ”
อารมณ์ที่ปลอดโปร่งแจ่มใสมาทั้งวันระเหยกลายเป็นไอไปสิ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้น
“เราอยากยกเลิกกฎนี้แล้วไปค้างตำหนักที่อยากไปไม่ได้หรือไรกัน”
ขันทีใหญ่อึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบเบาๆ “หากเป็นพระบัญชาย่อมได้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่กฎนี้เพิ่งเริ่มใช้เพียงครึ่งเดือนก็จะยกเลิกเสียแล้ว กระหม่อมเกรงว่าจะเกิดความไม่พอใจขึ้นในตำหนักใน หากวันหน้ากำหนดกฎเกณฑ์อื่นอีกคงยากที่สนมชายาทั้งหลายจะยอมปฏิบัติตาม หากฝ่าบาททรงประสงค์จะเปลี่ยนกฎจริง อย่างน้อยรอให้ครบเดือนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยสูดหายใจเข้าปอด ไฉนชีวิตฮ่องเต้ถึงได้เป็นเช่นนี้นะ เตียงที่ไม่อยากนอน สำนักพระราชวังก็จะบังคับให้เขานอนให้ได้ เช่นนี้มิเท่ากับว่าเขาต้องเข้าราชสำนักในตอนเช้า ได้พักผ่อนตอนเที่ยง พอตกเย็นยังต้องขึ้นเตียงด้วยความจำใจเหมือนเวลาเข้าราชสำนักอีกหรือ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
อวี่เหวินฉางชิงมองฮ่องเต้ด้วยความเห็นใจสุดซึ้งแล้วประสานมือคำนับ “กระหม่อมยังมีงานต้องทำ ขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยโบกมือ พอฝ่ายนั้นออกไปแล้วถึงค่อยหันมาคำรามใส่ขันทีใหญ่ “เราจะไปตำหนักซิ่วจวง!”
ขันทีใหญ่ตัวสั่นงันงกอยู่สักพัก กระนั้นก็ยังยืนกรานกฎในวังหลวงให้กู้เจาเป่ยฟังอย่างไม่ยอมลดราวาศอก “ตำหนักในมีสนมชายาจำนวนมาก จัดการลำบาก หากฝ่าบาทไม่ทรงปฏิบัติตามกฎ กระหม่อมเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นภายหลังได้พ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยรับฟังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ขันทีใหญ่ผู้นี้นับว่าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ถึงขนาดย้อนความหลังให้เขาฟังเป็นฉากๆ ว่าแต่ก่อนพวกสตรีฝ่ายในแก่งแย่งชิงดีกันอย่างไรบ้าง กว่าจะพูดจบก็ใช้เวลาสามก้านธูปจนกู้เจาเป่ยแทบโงกหลับอยู่รอมร่อ
“ฝ่าบาท” เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าประตู
เขาลืมตาขึ้นมองอย่างหงุดหงิดใจ
เสิ่นเฟยยืนส่งยิ้มอย่างขอโทษขอโพยอยู่ตรงนั้น “ในเมื่อฝ่าบาททรงเหนื่อยแล้วก็เสด็จกลับตำหนักซิ่วจวงไปพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะถือว่าฝ่าบาทเสด็จไปค้างที่ตำหนักหม่อมฉัน รับรองว่าจะไม่ร้องทุกข์ใดๆ”
อะไรนะ กู้เจาเป่ยขยี้ตามองเสิ่นหานลู่ที่อยู่ตรงหน้า สตรีผู้นี้ถูกประตูหนีบศีรษะมาหรือไร เหตุใดวันนี้ถึงได้ว่าง่ายผิดหูผิดตา
เสิ่นหานลู่ยิ้มบางๆ ดูผิดกับท่าทางเห่อเหิมเอาแต่ใจที่เคยมีโดยสิ้นเชิง ขนาดย่อกายคารวะยังทำอย่างเรียบร้อย “หม่อมฉันทราบว่าเรื่องในอดีตทำให้ฝ่าบาทไม่โปรดหม่อมฉันนัก นับแต่ได้ออกจากตำหนักเย็น หม่อมฉันก็คิดได้แล้วเพคะ ขอเพียงฝ่าบาทไม่ทรงผลักไสหม่อมฉัน ยอมให้หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าบ้างก็พอ ต่อให้ไม่เสด็จไปประทับที่ตำหนักหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่รบเร้า”
นางเอกทะลุมิติใจคอคับแคบแบบเดิมๆ ได้ยกระดับเป็นพระชายาผู้มีปัญญาเฉียบแหลม รู้กาลเทศะแล้ว สุดยอดจริงๆ เสิ่นหานลู่ลอบกระหยิ่มใจ
กู้เจาเป่ยกวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอยู่หลายตลบ ก่อนจะเลิกคิ้ว “ในเมื่อเสิ่นเฟยรู้ความเช่นนี้ เราก็จะไปตำหนักซิ่วจวง”
“น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท” เสิ่นหานลู่ค้อมกายอย่างสงบเสงี่ยม ไม่แสดงความขุ่นเคืองออกมาแม้แต่น้อย “ไว้พรุ่งนี้หม่อมฉันค่อยไปถวายพระพรนะเพคะ”
กู้เจาเป่ยเสียวสันหลังวาบ สตรีที่เปลี่ยนได้วันละสามเวลาเช่นนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว