วันนี้เสิ่นกุยเยี่ยนเข้าครัวทำอาหารโดยเฉพาะ แม้เป่าซั่นจะบอกว่าบัดนี้นางเป็นถึงเยี่ยนผิน จะเฉียดกรายใกล้ห้องครัวอีกไม่ได้ แต่ตอนอยู่ในจวนสกุลกู้สามีชอบกินอาหารที่นางทำ ครั้งนี้นางจึงเข้าครัวแสดงฝีมือเอง ถือเสียว่าเป็นการฉลอง
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงจุดนี้
ยืนรอตรงประตูตำหนักสักพักกู้เจาเป่ยก็มาถึง ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในตำหนักซิ่วจวงเขาก็เดินยิ้มเข้ามากอดนางแล้วเหวี่ยงไปรอบๆ เหมือนไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย “ชายารัก”
เป่าซั่นหลุดขำแล้วเตือนเบาๆ “ฝ่าบาท นายหญิงยังไม่ใช่พระชายานะเพคะ ฝ่าบาทต้องทรงเปลี่ยนคำเรียกเสียใหม่”
กู้เจาเป่ยอุ้มเสิ่นกุยเยี่ยนมานั่งที่โต๊ะแล้วยิ้มตาแทบปิด “วันนี้ยังไม่ใช่ แต่พรุ่งนี้จะใช่แล้ว”
เสิ่นกุยเยี่ยนผงะ
“ตอนแรกข้ายังคิดว่าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาไปเลยดีหรือไม่ อย่างไรเสียยายแก่สารพัดพิษนั่นก็กระดิกกระเดี้ยไม่ได้” เขากล่าว “แต่ดูเหมือนในราชสำนักจะยังมีคนคัดค้าน ข้ายังไม่ได้ดันสกุลเสิ่นของเจ้าขึ้นมามีอำนาจด้วย หากแต่งตั้งเจ้าเป็นฮองเฮาออกจะมุทะลุเกินไป พรุ่งนี้ข้าจะถ่ายทอดคำสั่งให้แต่งตั้งเจ้าเป็นกุ้ยเฟยไปก่อน”
นางตอบยิ้มๆ “เป็นอะไรก็เหมือนกันนั่นล่ะเพคะ”
กู้เจาเป่ยสังเกตสีหน้าท่าทางของคู่สนทนาอย่างระมัดระวัง “เจ้าไม่โกรธหรือ”
นับแต่ขึ้นครองราชย์เขาติดค้างตำแหน่งฮองเฮากับนางมาโดยตลอด จนป่านนี้ก็ยังมอบให้ไม่ได้ หากเขาเป็นนางคงโกรธไปแล้ว
“หม่อมฉันชอบมองสิ่งที่เกิดขึ้นในทางเลวร้ายเสมอ ต่อให้ผลออกมาไม่ดีนัก หม่อมฉันก็จะไม่ผิดหวังจนเกินไป” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มละไม “ฮองเฮาไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ข้อนี้หม่อมฉันทราบ ได้เลื่อนตำแหน่งจากผินเป็นกุ้ยเฟยก็ถือว่าได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากแล้วเพคะ”
กู้เจาเป่ยถอนหายใจเฮือกแล้วโอบกอดนาง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ให้เจ้าคับอกคับใจอีกแล้ว เจ้าไม่ได้เป็นฮองเฮา ผู้อื่นก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน จะไม่มีใครได้ครองตำแหน่งสูงกว่าเจ้าทั้งนั้น”
“เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้าแล้วจับมือเขา “เลิกพูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า เสวยก่อนเถิดเพคะ วันนี้หม่อมฉันเข้าครัว…”
พูดยังไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็ล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
“เจ้าเข้าครัวทำเองหรือ” กู้เจาเป่ยมองอาหารบนโต๊ะแล้วตาเป็นประกาย วางกระดาษแผ่นนั้นไว้อีกทาง “เช่นนั้นก็กินข้าวกันก่อนเถิด นี่คือรายนามแต่งตั้งสนมชายาของตำหนักใน ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จค่อยดูแล้วกัน”
กระดาษแผ่นนั้นเขียนตัวอักษรไว้แน่นขนัด เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งวาบเมื่อได้ยินว่าเป็นรายนามแต่งตั้งสนมชายา อดหยิบขึ้นมาดูไม่ได้
บุปผางามละลานตาเลยทีเดียว เสิ่นกุยเยี่ยนเห็นแล้วก็นึกเสียใจที่ทำอาหารให้เขา จะทำไปด้วยเหตุใด ปล่อยให้หิวตายไปเสียดีกว่า เสียแรงที่ช่วงนี้นางอุตส่าห์ซาบซึ้ง คิดว่ากู้เจาเป่ยแน่วแน่มั่นคงกับตนเพียงคนเดียว และครุ่นคิดวางแผนการต่างๆ นานาเพื่อให้ได้ครองคู่กับนางจนแก่เฒ่า
ปรากฏว่ารายนามแต่งตั้งนี้มีชื่อสตรีตำหนักในสิบห้าคนเป็นอย่างต่ำ นอกจากคนที่นางรู้จักอย่างฮวาผิน สีกุ้ยเหริน เจียงกุ้ยเหริน ยังมีคนที่นางไม่รู้จักแม้แต่น้อยด้วย อีกทั้งหางตายังเหลือบไปเห็นชื่อชิงกุ้ยเหรินอีกคน อืม…บอกว่าปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้มาโดยตลอด ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นผิน
ฮวาผินเลื่อนเป็นหวาเฟย สีกุ้ยเหรินเลื่อนเป็นสีเฟย เสิ่นเฟยดำรงตำแหน่งเดิม ชิงกุ้ยเหรินเป็นชิงผิน ส่วนชื่อของนางนั้นกู้เจาเป่ยเขียนไว้ลำดับแรกสุดด้วยเส้นหมึกเข้มหนา
‘เยี่ยนกุ้ยเฟย’
ขอบคุณยิ่งนักที่เขาอุตส่าห์ดีกับนางเป็นพิเศษ เมื่อครู่ตอนได้ยินว่าเขาจะแต่งตั้งนางเป็นชายา เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าตำแหน่งชายาเป็นเพียงอนุ ขอเพียงได้อยู่ข้างกายเขา จะเป็นอนุหรือเป็นภรรยาเอกก็ไม่สำคัญทั้งนั้น
ทว่า…เหตุใดท้ายชื่อนางถึงได้มีชื่อสตรีอื่นตามมาอีกเป็นพรวนกันเล่า หากแก้หัวข้อ ‘คำสั่งแต่งตั้งสนมชายา’ เป็น ‘หอเงาบุปผาเมามัว’ เสีย นางจะกลายเป็นดาวเด่นของหอไปทันที
“อร่อยจริง” กู้เจาเป่ยกินอย่างออกรส พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเสิ่นกุยเยี่ยน
“เป็นอะไรไป” เขาถามพลางทำหน้าเหลอหลา “มีตรงที่ใดเขียนผิดหรือ”
“ไม่ผิดหรอกเพคะ” นางสูดหายใจลึกๆ แล้ววางกระดาษลง จากนั้นก็หยิบกุ้งกระจกที่เขากำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยขึ้นมา “กับข้าวเย็นหมดแล้ว หม่อมฉันจะเอาไปอุ่นถวาย”
ไม่เย็นเสียหน่อย เขากำลังกินอร่อยทีเดียว กู้เจาเป่ยกำลังจะขยับปากห้าม ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนยกจานออกไปเรียบร้อยแล้ว สักพักก็กลับเข้ามาบอกเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ “ฝ่าบาทเสวยอย่างอื่นเถิดเพคะ หม่อมฉันเผลออุ่นจนเละหมดแล้ว”