ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง เล่ม 4 บทที่ 129-130
“วันนี้ทุกท่านมาคารวะข้าเป็นครั้งแรก ทั้งยังมีหน้าใหม่เข้ามาอยู่ในวังหลวงไม่น้อย เช่นนั้นมาทำความรู้จักกันสักหน่อยดีกว่า” เสิ่นกุยเยี่ยนหันไปมองด้านข้าง “มาให้หมดทุกคนนั่นล่ะ”
สตรีตำหนักในหน้าใหม่หลายคนเดินแช่มช้อยเข้ามาหา หัวแถวคือฟู่โหย่วอี๋ที่ย่อกายคารวะนางอย่างสำรวม “หม่อมฉันฟู่ซื่อจากตำหนักเหอฮวนเพคะ”
สตรีที่ยืนถัดไปพูดบ้าง “หม่อมฉันเยี่ยซื่อจากตำหนักเฟยเยี่ยนเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนกวาดตาพิจารณาทั้งคู่แล้วพยักหน้า ดูเหมือนมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างโดดเด่นสะดุดตา ส่วนสตรีที่เหลือเป็นพรวนหลังจากนี้นางฟังคำแนะนำตัวแล้วจำอะไรไม่ได้สักอย่าง
จวบจนคนสุดท้าย
“หม่อมฉัน…เกาซื่อจากตำหนักเยี่ยถิงเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งวาบ จ้องมองเจ้าตัวอยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียกอย่างไม่แน่ใจนัก “จิ่นซิ่ว?”
เกาซื่อเงยหน้าขึ้น ใบหน้ากลมอิ่มอ่อนโยนดวงนี้เป็นของเกาจิ่นซิ่ว บุตรสาวที่เกิดกับภรรยาเอกของรองเสนาบดีเกาแน่นอน
เสิ่นกุยเยี่ยนรู้สึกสับสนซับซ้อนอยู่ในใจ สมัยเด็กๆ นางกับเกาจิ่นซิ่วเคยเป็นสหายรักกัน อูซื่อผู้เป็นมารดาก็ดีกับนางมาก ภายหลังยังช่วยนางแก้ปัญหาเรื่องสินเจ้าสาวอีกด้วย
นึกไม่ถึงว่าสหายเก่าจะเข้ามาอยู่ในวังหลวงเช่นกัน
เกาจิ่นซิ่วมองคนรอบตัวอย่างลนลานน้อยๆ แล้วก้มหน้า เสิ่นกุยเยี่ยนได้สติกลับมาแล้วเพิ่งตระหนักว่าตนเองจ้องอีกฝ่ายนานเกินไป จึงรีบคลี่ยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าบัดนี้จะได้มาพบกันอีกครั้ง กลับไปนั่งก่อนเถิด ไว้ว่างๆ ค่อยมาคุยกันให้เต็มที่”
“เพคะ” เกาจิ่นซิ่วถอยกลับไปอยู่อีกทางอย่างสงบเสงี่ยม
ไฉเหรินสองคนที่ยืนข้างเกาจิ่นซิ่วดึงแขนนางพลางกระซิบกระซาบ “เจ้ารู้จักกับกุ้ยเฟยเลยหรือนี่ ก้าวหน้าใหญ่แล้ว!”
เกาจิ่นซิ่วส่ายหน้าก่อนทอดถอนใจ ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเยี่ยนเอ๋อร์เข้ามาอยู่ในวังหลวง ดังนั้นข้าเองไม่อยากแก่งแย่งชิงดีกับนางเลยจริงๆ ทว่า…เฮ้อ
เสิ่นกุยเยี่ยนตั้งสติ กำลังจะขยับปากพูดอะไรตามมารยาทสักสองสามคำ เสียงร้องก็พลันดังขึ้นจากด้านหลัง “ว้าย”
ดูเหมือนจะเป็นเสียงซิ่วผิง
เสิ่นเฟยหน้าตาตื่น รีบลุกขึ้นมองไปด้านหลัง “ซิ่วผิง เจ้าก่อเรื่องหรือ”
เป่าซั่นก้าวออกมาด้วยสีหน้าขอโทษขอโพย “เมื่อครู่หม่อมฉันไม่ทราบว่ายังมีน้ำชาอยู่ในกา เลยทำหกเข้าไปในแขนเสื้อของซิ่วผิงโดยไม่ได้ตั้งใจ จนเสียงดังรบกวนพระชายาทั้งหลาย ขอประทานอภัยเพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนเหลือบมองเสิ่นหานลู่แล้วว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้าจัดของต่อเถิด เสิ่นเฟยก็ไม่ต้องเคร่งเครียดนักหรอก”
เสิ่นหานลู่นั่งลงอย่างไม่สบายใจ หลังจากทำตาละห้อยมองเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างน่าสงสารอยู่สักพักก็เม้มปากแล้วพูดขึ้น “แต่ก่อนหม่อมฉันกับกุ้ยเฟยขัดแย้งกันมามาก แต่ตอนนี้หม่อมฉันเพียงอยากใช้ชีวิตในตำหนักในอย่างสุขสงบจนแก่ตายเท่านั้น ไม่อยากมีปัญหาใดๆ อีกแล้ว ดังนั้นจึงกลัวว่ากุ้ยเฟยจะเข้าพระทัยผิด…”
ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบจนแก่ตาย? เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะ หากนางเชื่อก็โง่เขลาเต็มที นางเห็นเล่ห์เพทุบายของเสิ่นหานลู่มานักต่อนัก ถ้าไม่เพราะอีกฝ่ายเพิ่งออกจากตำหนักเย็นแล้วทำตัวสงบเสงี่ยมจนจับผิดไม่ได้ล่ะก็ เสิ่นกุยเยี่ยนคงขอให้ฮ่องเต้ส่งเจ้าตัวออกจากวังหลวงไปนานแล้ว
แต่ท่าทางในตอนนี้ก็ดูน่าสงสารจริงๆ พอมองอย่างละเอียดก็พบว่าตรงมุมปากของอีกฝ่ายเหมือนจะมีรอยแผลที่เพิ่งได้มาไม่นาน ไม่รู้ว่าระหว่างอยู่ในตำหนักเย็นเสิ่นหานลู่ทำอะไรบ้าง…จู่ๆ นางก็เกิดฉงนสงสัยขึ้นมา
แน่นอนว่ามีผู้อื่นอยู่ด้วยหลายคน พวกนางย่อมพูดจากันมากนักไม่ได้ จวบจนนางกำนัลข้างในจัดตำหนักเสร็จแล้วเดินออกมา เสิ่นกุยเยี่ยนถึงค่อยเอ่ย “วันนี้ทุกคนกลับไปก่อนเถิด พวกที่จัดตำหนักก็เหนื่อยกันแล้ว ประเดี๋ยวไปรับเงินรางวัลจากเป่าซั่นแล้วกัน”
“ขอบพระทัยกุ้ยเฟยเพคะ” เหล่าสนมชายาลุกขึ้นคำนับแล้วแยกย้ายกลับตำหนักกับคนของตน
ตอนเกาจิ่นซิ่วเดินออกไป เป่าซั่นชะโงกตัวไปกระซิบตรงริมหูอย่างคล่องแคล่ว “ตกบ่ายกุ้ยเหรินกลับมาอีกครั้งนะเจ้าคะ”
ไฉนเป่าซั่นจะไม่รู้ว่าเจ้านายตนสนิทสนมกับคุณหนูเกา หลังจากได้พบกันวันนี้นายหญิงของนางจะต้องยังมีเรื่องอยากพูดคุยด้วยแน่ นางจึงชิงบอกไว้ก่อน
เกาซื่อพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินออกไป
เหลือเสิ่นหานลู่คนเดียวที่ยังอยู่ในห้องโถงใหญ่
เนื่องจากคาดเดาได้อยู่แล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนจึงเอื้อมมือไปหยิบจานเมล็ดแตง เตรียมรอฟังคำพูดของอีกฝ่าย
“กุ้ยเฟยเพคะ” เสิ่นหานลู่หลุบตาลงต่ำ “ทุกอย่างที่แล้วมาเป็นเพราะหม่อมฉันยังเด็ก ไม่เข้าใจว่าอะไรควรไม่ควร กุ้ยเฟยจะประทานโอกาสให้หม่อมฉันอีกสักครั้งได้หรือไม่เพคะ”
หากข้าจับมารดาเจ้าโยนลงสระบัวกลางฤดูหนาวแล้วค่อยดึงขึ้นมา จากนั้นก็แย่งว่าที่สามีเจ้าในวันแต่งงาน มิหนำซ้ำยังตามตอแยสามีคนปัจจุบันของเจ้าอย่างหน้าไม่อาย เจ้าจะให้โอกาสข้าอีกครั้งหรือไม่เล่า
เสิ่นกุยเยี่ยนนิ่งเงียบไม่ตอบคำ ขณะแค่นหัวเราะในใจ
เสิ่นหานลู่กัดฟันคุกเข่าลงตรงหน้านางแล้วถลกแขนเสื้อขึ้น “พระชายาทรงคิดว่าหม่อมฉันยังรับโทษทัณฑ์ทางกายมาไม่พออีกหรือเพคะ หากยังไม่พอหม่อมฉันยินดีรับเพิ่ม”
แขนข้างนั้นลายพร้อย เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ รอยแส้เฆี่ยน รอยแผลเป็น เสิ่นกุยเยี่ยนสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
“รอยพวกนี้มาจากที่ใด”
เสิ่นหานลู่แค่นยิ้ม “พระชายาไม่ทรงทราบหรอกเพคะว่าตำหนักเย็นเป็นสถานที่เช่นใด ตอนหม่อมฉันเข้าไปเนื้อตัวยังเนียนเกลี้ยงไร้ตำหนิ แต่พอไปอยู่ข้างในต้องถูกตบตี ถูกข่มเหงรังแกไม่เว้นแต่ละวัน ในนั้นมีแต่หญิงสติไม่ดีกับบ่าวไพร่ที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ที่นั่นไม่ใช่โลกมนุษย์หรอกเพคะ เป็นนรกต่างหาก”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.